Feb-2017
ไอซ์แลนด์ แสงเหนือ กับ TIPINSURE – เมื่อจินตนาการและความฝันกลายเป็นความจริง
ไอซ์แลนด์ แสงเหนือ กับ TIPINSURE
เมื่อจินตนาการและความฝันกลายเป็นความจริง
เคยมั๊ยในตอนเด็กที่ดูการ์ตูนเทพนิยายแล้วเห็นลำแสงสีเขียวโลดแล่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางหิมะโปรยปราย บ้างก็อ่อนช้อย บ้างก็แข็งกร้าวดุดัน เราอาจจะนึกว่าลำแสงเหล่านั้นมีอยู่แค่ในจินตนาการ แต่แท้จริงแล้วมันคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามที่เรียกว่าแสงเหนือ ซึ่งที่ไอซ์แลนด์ เป็นดินแดนที่ จินตนาการกับความฝันได้หลอมรวมเป็นความจริง
แสงเหนือปรากฎการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่คนที่รักการท่องเที่ยว คนที่รักการถ่ายภาพ ควรจะไปให้เห็นซักครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลความสวยงามของแสงเหนือ จึงอยากจะไปเห็นซักครั้งหนึ่งในชีวิต
สำหรับการล่าแสงเหนือนั้น ปกติแล้วจะต้องไปในประเทศที่อยู่ใกล้กับขั้วโลกทั้งสองฝั่ง ซึ่งคนจะนิยมไปทางฝั่งขั้วโลกเหนือ เพราะมีพื้นดินในบริเวณที่เกิดแสงเหนือให้สามารถไปชมได้ครับ ซึ่งต่างจากทางขั้วโลกใต้ที่ไม่มีแผ่นดิน สำหรับฝั่งขั้วโลกเหนือ ประเทศที่สามารถไปดูแสงเหนือได้ก็จะมี ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ สแกนดิเนเวียทางเหนือ แคนาดา อลาสกา เป็นหลัก แต่ประเทศที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในการไปชมแสงเหนือคือประเทศไอซ์แลนด์ เนื่องจากประเทศไอซ์แลนด์นั้นอยู่ในโซนที่มีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน ทำให้อากาศไม่หนาวจนเกินไป (ราวๆ 0 องศาเซลเซียส) ต่างจากสแกนดิเนเวีย ที่บางส่วนอยู่กลางแผ่นดินที่อุณหภูมิจะหนาวมาก (ราว -20 ถึง -40 องศาเซลเซียส)
Kiruna Sweden Night time with -40°C weather
แสงเหนือเมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน
ผมเองได้มีโอกาสไปล่าแสงเหนือครั้งแรกในปี 2012 เนื่องจากน้องชายได้ทุนไปเรียนที่สวีเดน ช่วงทีไปเยี่ยมเลยมีโอกาสออกไปล่าแสงเหนือ ซึ่งครั้งนั้นผมแพลนไปอยู่ที่ Lapland ดินแดนที่มีโอกาสเห็นแสงเหนือไว้ทั้งหมด 6 วัน ทั้งที่เมืองคิรูน่าในสวีเดน และเมืองทรอมโซ่ในนอร์เวย์ แต่น่าเสียดายที่ครั้งนั้นผมโชคร้ายที่รถไฟที่ผมตั้งใจจะจองไว้ไม่มีการเดินรถ เพราะเป็นวันคริสต์มาสอีฟ ทำให้แพลนผมเลื่อนไป 1 วัน และเป็นวันเดียวในช่วงเวลานั้นที่เกิดแสงเหนือขึ้น ทำให้ครั้งนั้นผมพลาดไป ซึ่งภาพแสงเหนือของผู้ที่ไปถึงก่อนผมหนึ่งวัน ที่เขาได้นำมาให้ดูนั้นมันช่างสวยงามตรึงตาตรึงใจผมมากๆ
ภาพที่ผมได้เห็นจากคนที่ไปถึงก่อนคือภาพมุมนี้ แต่เพิ่มเติมคือมีแสงสีเขียวระบายเต็มท้องฟ้า แต่ผมพลาด!
ผ่านมาอีก 2 ปี เมื่อราวต้นปี 2015 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสล่าแสงเหนืออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมแพลนไปที่ประเทศไอซ์แลนด์ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของการล่าแสงเหนือ โดยที่ผมนั่งเครื่องไปลงที่ปารีสและเที่ยวก่อนแล้วจึงต่อเครื่องไปที่ไอซ์แลนด์ เช้าวันที่ 17 มีนาคม 2015 เป็นวันที่ผมจะออกเดินทางไปยังไอซ์แลนด์ วันที่ผมจะเริ่มตามล่าความฝันในวัยเด็กของผมอีกครั้ง เช้าวันนั้นผมเปิดเว็บที่พยากรณ์อากาศของไอซ์แลนด์ (http://en.vedur.is/weather/forecasts/aurora/) ปรากฎว่าวันนั้นเป็นวันที่ฟ้าปลอดโปร่งมาก และเป็นวันที่มีการพยากรณ์แสงเหนือสูงถึง KP-7 ซึ่งถือว่าสูงมาก (เต็ม 9) ซึ่งตามตารางแล้วผมจะบินถึงไอซ์แลนด์ประมาณบ่าย 3 ก็กะว่าเข้าที่พักแล้วจะไปที่ Kirkjufell ซึ่งถือเป็นจุดที่สวยที่สุดในการถ่ายแสงเหนือแล้วที่นี่อยู่ห่างจากที่พักไปร่วมๆ 150 กิโลเมตร ในใจก็คิดว่าวันนี้เราได้เจอกันแน่ๆ
ทุกอย่างดูจะราบรื่นจนไปนั่งอยู่บนเครื่องและรอคิวที่จะ Takeoff แต่กัปตันเจอกลุ่มควันจากเครื่องจึงต้องวนเครื่องกลับมาตรวสอบ และพบว่าอาการหนักมากจนต้องให้คนลงมารอที่เกทอีกครั้ง.. และรู้เพียงว่าต้องตรวจสอบอย่างน้อย 2 ชั่วโมง.. และเวลาผ่านไปเพื่อนคนหนึ่งก็แจ้งข่าวมาว่าวันนี้เป็นวันที่แสงเหนือแรงที่สุดในรอบ 20 ปีและ KP-Index ขึ้นไปถึง 9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว….. หากเป็นวันอื่นๆผมคงนั่งจิบกาแฟชิวๆ รอรับเงินเคลมจากการทำ ประกันภัยเดินทาง ของผมไปแล้ว เพราะครั้งนั้นผมได้ทำประกันภัยเดินทางแบบที่ครอบคลุมเรื่องไฟลท์ดีเลย์ จาก TIPINSURE ไว้อยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ผมไม่ได้อยากจะได้เงินเคลมประกันที่ว่านี่เลย ผมซึ่งควรจะบินถึงสนามบินในไอซ์แลนด์แล้ว… กลับยังอยู่ที่สนามบินชาร์ลเดอโกลในกรุงปารีสอยู่ จนทำให้ความรู้สึกที่พลาดการชมแสงเหนือเมื่อครั้งเดินทางไปสแกนดิเนเวีย เนื่องจากเรื่องการเดินทาง เริ่มวนเวียนขึ้นมาในหัวอีกครั้งว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ เพราะหากเลทเพิ่มไปอีก 2 ชั่วโมง ตารางการขับรถไปที่ Kirkjufell จะแน่นมากๆ สุดท้ายการซ่อมเครื่องบินวันนั้นผมต้องรอไปนานถึง 4 ชั่วโมง…. นั่นแปลว่าผมจะไปถึงไอซ์แลนด์ตอนเกือบๆ 3 ทุ่ม ถ้าจะขับรถไป Kirkjufell ก็จะใช้เวลาอีกราว 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว….
My First Aurora in Iceland, Love at first sight
ระหว่างที่นั่งเครื่องไปยังสนามบินที่ไอซ์แลนด์ในหัวผมสับสนมาก… ว่าจะเสี่ยงขับรถไปที่ Kirkjufell หรือไม่ หรือว่าจะหามุมไหนซักมุมหนึ่ง ถ่ายแสงเหนือดี.. ช่วงแรกนั้นคิดแผนสองแล้วว่าจะไปอีกจุดหนึ่ง แต่ว่าอีกจุดที่ว่านั้นก็ใกล้กว่า Kirkjufell แค่ 50 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เลยตัดใจว่าต้องทำให้ถึงที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษจริงๆ เป็นวันที่แสงเหนือแรงที่สุดในรอบ 20 ปี เพื่อนที่ไปเที่ยวรัสเซีย เพื่อนที่ไปกรุงอัมสเตอร์ดัม ล้วนแมสเสจและส่งรูปมาบอกว่าวันนี้เห็นแสงเหนือกันด้วย ทั้งๆที่ที่พวกเขาอยู่นั้นโอกาสจะเห็นแสงเหนือนั้นน้อยมากๆ นอกจากวันที่แสงเหนือขึ้นแรงจริงๆ
สรุปแล้ววันนั้นผมได้รถตอน 4 ทุ่มพร้อมกับมีพยากรณ์อากาศมาใหม่ว่าช่วงหลังเที่ยงคืนไปไอซ์แลนด์จะเริ่มเต็มไปด้วยเมฆ กับระยะทางกว่า 207 กิโลเมตรที่ปกติแล้วจะต้องขับรถไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง แต่ผมเสี่ยง เสี่ยงที่จะไป จากสนามบินผมบึ่งรถแบบไม่คิดชีวิตไปใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง และเป็นโชคดีมากๆที่เวลานั้น เมฆยังมาไม่ถึงที่ Kirkjufell เมื่อลงจากรถสิ่งที่ผมได้เห็น สิ่งที่รอผมอยู่ที่นี่ เป็นสิ่งที่ผมเฝ้าตามหามานาน ในที่สุดผมก็ได้เจอจนได้ “แสงเหนือ” อาจจะไม่ใช่ภาพที่ดีที่สุดที่ผมเคยถ่ายมา อาจจะไม่ใช่ภาพที่ปราณีตที่สุด แต่เป็นภาพที่เต็มเปี่ยมและอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากที่สุด เพราะจินตนาการความฝันที่ฝันถึง บัดนี้มันได้กลายมาเป็นความจริงแล้ว…
My First Aurora at Kirkjufell Iceland
คิดดูซิครับในวันนั้นขนาดแสงเหนือยังขึ้นเป็นรูปหัวใจแล้วจะไม่ให้ผมตกหลุมรักมันได้ยังไงจริงมั๊ยครับ..
ถามว่าทำไมผมต้องพยายามที่จะไปที่ Kirkjufell ด้วย นั่นก็เพราะว่าที่ Kirkjufell เป็นสถานที่หนึ่งที่มีความครบสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ลำธาร และน้ำตก.. ยิ่งได้แสงเหนือเข้ามาประกบด้วยแล้ว มันเป็นความลงตัวอย่างที่สุด เป็นสถานที่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกที่ควรจะมายืนอยู่ที่นี่ให้ได้ซักครั้งหนึ่งในชีวิตครับ
ในวันนั้นผมอยู่ถ่ายภาพความสวยงามของแสงเหนือยันตี 4 ก่อนจะกลับมาพักที่โรงแรม ซึ่งหลังจากนั้นผมยังมีโชคที่จะเห็นแสงเหนือต่อเนื่องทุกวันทั้งที่เมือง Vik และ Jökulsárlón – Glacier Lagoon
แต่ทว่าหลังจากนั้นผมก็เจอพายุหิมะถล่มตลอดอีก 1 อาทิตย์ที่ผมอยู่ที่ไอซ์แลนด์ ทำให้บริเวณตอนเหนือของไอซ์แลนด์ที่มี Landscape ที่สวยงามมากนั้นผมไม่สามารถถ่ายแสงเหนือได้อีกเลย รวมไปถึงตอนอยู่ทางเหนือด้วยรถที่ผมใช้เป็นรถเล็ก (Chevrolet Sonic) ทำให้เมื่อเจอพายุหิมะเข้าไปนั้นเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็โชคดีที่ผมได้ทำ ประกันภัยเดินทาง กับบริษัทเช่ารถไว้ด้วย จึงช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เพราะหากไม่ทำประกันไว้ค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุครั้งนั้นผมจะต้องจ่ายเงินเองกว่าครึ่งแสนเลยทีเดียว
เตรียมพบกับรีวิวจัดเต็มการล่าแสงเหนือไอซ์แลนด์เร็วๆ นี้
หลังจากรอบที่ผ่านมา ถือว่าผมสะบักสะบอมไม่น้อย จากการที่เจอพายุหิมะเล่นงานไปทำให้การถ่ายภาพแสงเหนือยังไม่จุใจเท่าไหร่ ปี 2017 ผมจึงแพลนไปล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และแน่นอนว่า ผมจะกลับมาทำรีวิว การล่าแสงเหนือสวยๆ แจ่มๆ ให้ทุกคนได้ดูได้เห็นแน่นอนจ้า เพราะที่ไอซ์แลนด์นั้นนอกจากแสงเหนือสวยๆ แล้ว Landscape ของที่นี่ถือว่าแจ่มสุดๆ
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมได้ไปยื่นวีซ่าเชงเก้นเป็นที่เรียบร้อยซึ่งก็ไม่มีปัญหาใดๆ แม้ว่าผมจะทำงานเป็นฟรีแลนซ์ก็ตาม เพราะการขอวีซ่าเชงเก้นนั้นหลักใหญ่ใจความสำคัญอยู่ที่การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน รวมไปถึงการทำประกันภัยเดินทางที่ทางสถานฑูตในเชงเก้นเขาเน้นมากๆ ซึ่งผมเองได้เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วที่คลิปนี้ ไปรับชมกันได้นะครับ
ซึ่งจากประสบการณ์เดินทางครั้งที่ผ่านๆมา ผมจึงเลือกทำประกันในแบบที่มีความคุ้มครองในส่วนของการคุ้มครองทรัพย์สิน เช่น กระเป๋าเดินทางเสียหาย และการคุ้มครองเรื่องความไม่สะดวกในการเดินทาง เช่นไฟลท์ดีเลย์ เป็นต้น การเดินทางในครั้งนี้ผมเลือกที่จะทำประกันภัยเดินทางกับ TIPINSURE เพราะที่นี่เองพึ่งออก Product ใหม่ออกมา 4 ตัว ชื่อ Backpack 1 – 2 – 3 – 4 โดยที่ตัวที่จะทำเพื่อขอวีซ่าเชงเก้นนั้นจะเป็นตัว 2 – 3 – 4
จุดเด่นของตัวนี้คือ Backpack 2 ที่เป็นตัวขั้นต่ำสำหรับการทำเพื่อยื่นของวีซ่าเชงเก้นนั้น มีการรวมเรื่อง กระเป๋าเดินทาง+ทรัพย์สินส่วนตัวภายในกระเป๋าเดินทางสูญหายหรือเสียหาย ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ เรื่อง Passport และเรื่อง ไฟลท์ดีเลย์ หรือการยกเลิกเดินทางเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยและง่ายที่สุดในการเดินทางแต่ละครั้ง ซึ่งราคาที่ออกมาถือว่า ถูกกว่าประกันภัยเจ้าอื่นร่วมๆ 50% อย่างทริปนี้ผมเดินทาง 20 วันราคาเพียง 599 บาทเท่านั้น เทียบกับเจ้าอื่นๆ ที่มี ความคุ้มครองเหล่านี้ราคาจะเกิน 1,000 บาททั้งนั้น
นอกจากนั้น TIPINSURE ยังเป็นเว็บไซต์ประกันภัยออนไลน์ของ ทิพยประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่ภาครัฐถือหุ้นใหญ่อยู่ ดังนั้น ปลอดภัย มั่นใจ เกิดอะไร ไม่ลูกเล่น ไม่มีเท เคลมได้แน่นอน
นอกจากนั้นตอนนี้หากใครซื้อกรมธรรม์มูลค่าตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไปยังได้เป้เท่ห์ๆไปสะพายฟรีด้วย เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่เลยครับ https://goo.gl/MEevZJ
เอาล่ะครับผมรีบไปจัดกระเป๋าเตรียมไปล่าแสงเหนือก่อนดีกว่า แล้วจะเอารีวิวจัดเต็มมาฝากเพื่อนๆ ทุกคนนะคร้าบบบบ