Jul-2016
อย่าลืม “สีฟ้า” เวลาหิว
อย่าลืม “สีฟ้า” เวลาหิว
สุดยอดความอร่อยที่อยู่คู่เมืองกรุงมากว่า 80 ปี
แต่ละเมืองแต่ละประเทศมักมีร้านอาหารคู่บ้านคู่เมืองที่เปิดมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่ากรุงเทพมหานครก็เช่นกัน ในปีนี้ สีฟ้า ร้านอาหารตำนานร้านหนึ่งของเมืองกรุงฯ ได้เปิดให้บริการมานานถึง 80 ปีเข้าไปแล้ว
อย่าลืม สีฟ้า เวลาหิว…. สโลแกนง่ายๆที่ติดปากมาตั้งแต่ยุคคุณพ่อ เป็นอีกร้านอาหารที่เปิดมาอย่างยาวนาน ผมเองได้กินมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะสาขาสยามที่ตอนเด็กๆเวลาตามคุณอาไปที่ทำงานที่คณะเภสัชศาตร์ มักจะพาผมไปกินเสมอๆ ร้านอาหารที่อยู่คงทนที่สยามมาอย่างยาวนานในพื้นที่ทำเลที่ร้านอาหารมากมายหลายร้านหมุนเวียนสับเปลี่ยน แต่ร้านสีฟ้าก็ยังอยู่ จนปัจจุบันร้านสีฟ้าเปิดให้บริการมาถึง 80 ปีแล้ว ผมเลยรำลึกความหลังชวนเพื่อนๆไปกินกันที่ร้านสีฟ้าสาขาสยามเมื่อเดือนที่ผ่านมาเลยถือโอกาสนำรีวิวมาฝากกันครับ
ร้านสีฟ้าสาขาสยาม ตั้งอยู่สยามสแควร์ซอย 9 ตรงข้ามกับอาคารสยามสแควร์วันตรงเวิ้งที่จอดรถ ร้านอาหารจะมี 2 ชั้นซึ่งชั้น 2 สามารถจัดเป็นห้องจัดเลี้ยงก็ได้เช่นกันครับ
ควบคุมคุณภาพ และมุ่งมั่นพัฒนาเมนูใหม่ๆตามสมัยนิยม เคล็ดลับความอร่อยของ สีฟ้า
ร้านที่เปิดมานานขนาดนี้แน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าและตำนานมากมาย ซึ่ง สีฟ้า เองก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่ชื่อร้านจนกระทั่งชื่อเมนู แต่เดิมทีเดียวสีฟ้าเริ่มกิจการจากการเป็นร้านขายไอศกรีม ในย่านราชวงศ์ แต่หลังจากร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียงปิดตัวลง เจ้าของจึงได้จ้างกุ๊กจากร้านดังกล่าวร่วมกันคิดค้นเมนูอาหารและเปิดเป็นร้านอาหารขึ้นมา เมื่อร้านขายดีจึงมีการปรับปรุงร้านและทาสีผนังใหม่เป็นสีฟ้า คนละแวกนั้นจึงเรียกร้านอาหารไม่มีชื่อร้านนี้ว่าร้านสีฟ้า จึงกลายเป็นชื่อร้านอาหารจวบจนปัจจุบันนั่นเอง สำหรับตำนานและที่มาของแต่ละเมนูนั้นผมจะค่อยๆแทรกลงไปในรีวิวให้นะครับ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ร้านสีฟ้าเปิดมาจนครบ 80 ปีในปีนี้ก็คือการควบคุมคุณภาพของอาหาร อาหารเด็ดๆที่เป็นสิ่งชูโรงก็จะคงคุณภาพไว้ แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเพียงใดก็จะไม่ลดคุณภาพของอาหารลง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้ายังคงติดใจมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันเจ้าของสีฟ้ายังคงเป็นผู้ไปเลือกวัตถุดิบเองอยู่ด้วย ซึ่งร้านการันตีว่าหากอาหารที่เคยทานรสชาตเพี้ยนไปจากเดิม ร้านยินดีเปลี่ยนจานใหม่หรือไม่คิดเงินเลยทันที
เมนู ข้าวหน้าไก่ราชวงศ์ไข่ดาว (85 บาท) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี เป็นเมนูที่โด่งดังมานานของร้านสีฟ้า ซึ่งเมนูนี้ผู้จัดการร้านทุกสาขาจะต้องเข้ารับการเทรนในการชิม และต้องชิมทุกๆเช้าว่ารสชาติในแต่ละวันจะต้องไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ตัวเนื้อไก่จะเป็นเนื้อน่องที่ให้ความนุ่ม ไข่ดาวแบบไข่แดงไม่สุกเมื่อเจาะให้น้ำไข่แดงลงไปคลุกกับน้ำของข้าวหน้าไก่พูดเลยว่าอร่อยฟิน
เช่นเดียวกับเมนู เป็ดย่าง (175 บาท) และหมูสะเต๊ะสูตรต้นตำรับ (125 บาท) ซึ่งเป็นเมนูคู่บุญที่อยู่กับร้านสีฟ้ามาอย่างยาวนานเช่นกัน เป็ดย่างนั้นจะเป็นการย่างในสไตล์แบบกวางตุ้งแท้ๆ ผสมผสานกับสูตรการปรุงแบบโบราณที่หมักกันข้ามคืนและนำไปย่างด้วยไฟอ่อนๆ ทำให้เมื่อนำไปย่างแล้วจะได้หนังเป็ดที่กรอบแห้งสีแดงน้ำตาลธรรมชาติ รวมถึงทำให้ส่วนเนื้อจะสีเข้มเป็นพิเศษและชุ่มไปด้วยเครื่องปรุงจิ้มทานกับน้ำจิ้มแล้วมีรสชาติเฉพาะตัวที่ไม่สามารถหาได้จากร้านอาหารร้านอื่นๆ
ส่วนหมูสะเต๊ะสูตรต้นตำรับนั้นจะใช้หมูสันนอกเต็มชิ้นที่ติดมันเล็กน้อยหมักด้วยสูตรดั้งเดิม ที่ว่าสูตรดั้งเดิมก็เพราะจริงๆแล้วหมูสะเต๊ะนั้นเป็นเมนูที่มีคนมาขายอยู่หน้าร้านในอดีตเมื่อเจ้าของเดิมเลิกกิจการทาง สีฟ้าจึงรับภรรยาของเจ้าของสูตรเดิมเข้ามาเป็นครูสอนการหมักหมู เมนูนี้หลังจากชิมแล้วถือว่าเป็นหมูสะเต๊ะที่ใช้หมูเต็มชิ้นไม่ได้นำมาแล่บางๆแบบหลายๆร้าน ทำให้เมื่อกัดลงไปจะได้ความชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูอย่างเต็มที่เลยครับ
ส่วนเมนูหม้อดินต่างๆนั้นก็เป็นอีกเมนูหนึ่งที่สีฟ้าไม่ยอมลดต้นทุนในการปรุงอาหาร เพราะเคล็ดลับใช้ไฟแรงจัดที่ทำให้ได้กลิ่นหอมสไตล์หม้อดินออกมาอย่างเต็มที่ แต่ด้วยไฟที่แรงจัดนั้นทำให้หม้อดินแต่ละใบสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้งเนื่องจากหม้อดินที่โดนไฟร้อนจัดๆเมื่อนำไปล้างน้ำ ทำให้หม้อแตกได้นั่นเอง แต่เพื่อให้ได้สูตรที่อร่อยคงเดิมสีฟ้าจึงยังคงยึดมั่นในการใช้หม้อแบบเดิมต่อไปเพื่อให้รสชาติอาหารนั่นคงคุณภาพดังเดิม
วันที่ผมไปผมได้กินเมนูหม้อดิน 3 อย่างคือ อีหมี่ กุ้งอบวุ้นเส้น และ ราดหน้าเนื้อตุ๋น
อิหมี่ (135 บาท) ถือเป็นเมนูที่ผมชอบมากเวลามากินสีฟ้า เส้นบะหมี่ไข่ที่นวดด้วยไม้แบบโบราณ นำไปผัดบนกะทะร้อนจัดๆให้เส้มไหม่นิดๆ ก่อนจะนำลงไปอบกับน้ำซุปทำให้บะหมี่ซึมซับรสชาติของน้ำซุปเป็นอย่างดีก่อนที่จะโรยด้วยแฮมและไก่ฉีก เมนูนี้ผมชอบสั่งแบบขอเส้นเกรียมเป็นพิเศษครับ ตรงที่ติดหม้อดินนี่อร่อยสุดๆ
กุ้งอบวุ้นเส้น (280 บาท) เมนูนี้วุ้นเส้นอบได้ดีหอมกลิ่นเครื่องเทศ เด่นที่ความสดของกุ้งตัวโต จิ้มกับน้ำจิ้มสูตรลับของทางร้าน จะเป็นน้ำจิ้มออกเปรี้ยวๆหวานๆ
ราดหน้าเนื้อตุ๋น (145 บาท) ส่วนตัวผมเป็นคนไม่ชอบทานราดหน้าซักเท่าไหร่ (ผมเป็นคนไม่ชอบทานเส้นตระกูลเส้นใหญ่) แต่เมนูนี้อร่อยที่ตัวเนื้อตุ๋นที่ตุ๋นมาได้นุ่มมากๆครับ
นอกจากการควบคุมคุณภาพที่ดีแล้ว สีฟ้า ยังถือเป็นร้านอาหารที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้ดี มีการออกเมนูใหม่ๆตามยุคสมัยออกมามากมาย โดยหลายเมนูก็เน้นฟังจากเสียงตอบรับจากลูกค้า เช่น บะหมี่แห้งอัศวินสีฟ้า เป็นเมนูที่แต่เดิมก็คือเมนูบะหมี่แห้งทั่วไปที่พิเศษตรงเส้นบะหมี่ที่ทำจากไข่เป็ดที่ใช้ไข่อย่างเต็มที่ทำให้ตัวบะหมี่มีความหอม (แต่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่มีเมนูบะหมี่น้ำ เนื่องจากถ้าทำเป็นบะหมี่น้ำเส้นบะหมี่จะเละเนื่องจากไข่ที่เยอะมากนั่นเอง) ในสมัยก่อนมักมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ที่ในสมัยนั้นจะเรียกกันว่าอัศวิน มาสั่งบะหมี่แห้ง ด้วยความเรื่องมากของบรรดาอัศวินที่ชอบเพิ่มเครื่องนู่นนั่นนี่ ซึ่งสีฟ้านั้นก็ทำให้ ทำให้ลูกค้าคนอื่นๆที่มาทานเห็นแล้วอยากลองทานบ้าง แต่สั่งไม่ถูกจึงพูดว่า “เอาบะหมี่แบบอัศวิน” เมื่อมีลูกค้าสั่งบ่อยเข้า สีฟ้าจึงได้ทำเมนูขึ้นมาอย่างจริงจัง
บะหมี่แห้งอัศวินสีฟ้า (125 บาท) จะมีเครื่องทั้งหมด 9 อย่างคือ เซี่ยงจี้ กุ้ง หมูแดง หมูหวาน ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ฮื่อก้วย เนื้อไก่ และก้ามปู เหมาะกับเด็กโลภทั้งหลายที่ไม่รู้จะสั่งเมนูอะไรนั่นเอง
ข้าวไข่ข้นกุ้ง (120 บาท) เป็นอีกเมนูที่ถือว่าสีฟ้านำสมัย(ในสมัยก่อน) เพราะร้านสีฟ้าได้ทำเมนูนี้มาตั้งแต่ก่อนช่วงที่เมนูไข่ข้นจะฮอตฮิตมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเจ้าของร้านบอกว่าที่ทำเพราะอยากทำไข่เจียวที่เป็นลูกผสมระหว่าง ไข่เจียวแบบไทยๆกับออมเล็ต ของทางตะวันตก เมนูนี้ก็อร่อยมาตรฐานครับ
วันที่ไปผมได้สั่งอาหารมาทานอีก 3 อย่างคือ เกี๊ยวกรอบ(70 บาท) ปอเปี๊ยะสด (75 บาท) และ ต้มยำโป๊ะแตก (250 บาท)
เกี๊ยวกรอบเป็นเมนูที่ปกติผมไม่เคยสั่ง แต่ครั้งนี้น้องพนักงานแนะนำให้ลองสั่งทานดูเพราะเกี๊ยวกรอบของที่นี่จะทำแป้งเกี๊ยวสูตรพิเศษกว่าร้านอื่นๆ เพราะจะใช้แป้งตัวเดียวกับที่ทำบะหมี่ซึ่งทำมาจากไข่ล้วนๆ ทำให้ตัวแป้งเมื่อเอาไปทอดจะมีความนุ่มมากๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้านสีฟ้าที่ต้องลอง
ปอเปี๊ยะสดเมนูธรรมดาๆที่ปัจจุบันหากินยากขึ้นทุกวัน แต่ที่สีฟ้ายังคงมีเมนูนี้ให้ทาน ความอร่อยของเมนูนี้อยู่ที่น้ำราดที่หอมหวาน
ต้มยำโป๊ะแตก เป็นเมนูที่ผมชอบทานนะ ที่สีฟ้าจะปรุงรสชาติน้ำซุปได้กลมกล่อมไม่หนักไปทางใดทางหนึ่ง ซดน้ำทานแล้วสดชื่นคล่องคอดีครับ และแน่นอนวัตถุดิบสดมากๆ สมแล้วที่เจ้าของร้านเป็นคนไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบตระกูลซีฟู้ดด้วยตัวเอง
สำหรับของหวานผมและเพื่อนๆได้ลองสั่งมาทานกันหลายอย่างเลยครับ
กล้วยไข่เชื่อม (70 บาท) เป็นอีกเมนูขนมไทยที่เป็นเมนูง่ายๆ แต่หากินยากขึ้นทุกวัน จัดจานมาสวยงามแต่ส่วนตัวผมอยากให้แยกน้ำกะทิมากกว่า เพราะผมเองเป็นคนไม่ชอบใส่น้ำกะทิมากเพราะมันจะออกเค็มๆไปหน่อย
เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด (65 บาท) อร่อยทั่วไปครับ ลอดช่องน้ำกะทิ (55 บาท) มีดีตรงน้ำกะทิที่หอม
ข้าวเหนียวดำเปียกเผือก (55 บาท) บัวลอยเผือก (55 บาท) และ สาคูลูกบัว (55 บาท) เป็น 3 เมนูที่ผมทานแล้วรู้สึกเหมือนย้อนอดีตไปในสมัยเด็กที่ทุกเย็นพ่อจะซื้อขนมไทยเจ้าอร่อยจากตลาดมาให้ทานที่บ้าน แต่ปัจจุบันขนมเหล่านี้โดยเฉพาะเจ้าอร่อยๆเริ่มหายากขึ้น แต่ที่สีฟ้ายังคงมีขนมเหล่านี้ให้ทานเสมอมา
ข้าวเหนียวเปียกเผือก เมนูนี้ชอบเลยโดยเฉพาะตรงที่มีเผือกมาด้วยหวานอร่อยมาก ส่วนบัวลอยเผือกอันนี้อร่อยทั่วๆไปครับผมชอบตรงที่มีการใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนมาด้วย ส่วนสาคูลูกบัวเมนูนี้ผมเฉยๆครับ
ของหวานที่ไม่ควรพลาดอีกอย่างของร้านสีฟ้าคือไอศกรีม จำได้ใช่ไหมครับที่ผมบอกว่าสีฟ้าเติบโตมาจากร้านขายไอศกรีมมาก่อน จุดเด่นของไอศกรีมคือการใช้วัตถุดิบอย่างเต็มที่ และมีการนำผลไม้ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน (คุณภรรยาเจ้าของในยุคบุกเบิกเป็นแม่ค้าขายผลไม้) มาผสมผสานทำไอศกรีมทั้ง ไอศกรีมทุเรียน ไอศกรีมโยเกิร์ตมะม่วง เป็นต้น
แต่ผมเองเป็นคนไม่ชอบทานทั้ง ทุเรียน โยเกิร์ต และผลไม้เลยแอบไม่อินอย่างแรง ผมเลยชิมแค่ 2 อย่างคือไอศกรีมวนิลา (60 บาท) ตัวนี้จุดเด่นอยู่ที่รสวนิลามาจากฝักวนิลาจริงๆไม่ได้ใช้กลิ่นสังเคราะห์ทำให้ไอศกรีมหอมมากๆ ส่วนไอศกรีมกะทิสด (60 บาท) หอมมันอร่อยทั่วไปครับ
บทสรุปร้านสีฟ้า
หลังจากได้กลับไปทานร้านสีฟ้าอีกครั้งหนึ่งพบว่า ร้านสีฟ้ายังคงความอร่อยของอาหารได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงวัตถุดิบหลายอย่างที่เจ้าของกิจการยังคงเป็นคนคัดเลือกด้วยมือของตัวเอง ทำให้การกลับไปทานร้านสีฟ้าครั้งนี้เปรียบเสมือนผมได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน เพื่อนที่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับเราอย่างเสมอมา
- ใช้วัตถุดิบที่ดีใหม่สด เจ้าของควบคุมคุณภาพและคัดเลือกด้วยตนเอง
- อาหารต่างๆที่เคยกินในอดีตยังคงรสชาติที่ดั้งเดิมไม่เพี้ยน ไม่ลดคุณภาพลง
- มีเมนูให้เลือกมากมายทั้งเมนูดั้งเดิมและเมนูประยุกต์ที่เข้ากับสมัยนิยม
- ร้านนั่งสบายๆ ไม่ได้หรูหรามาก ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งทานอยู่ที่บ้านสามารถมาทานได้ทุกวัน
- ราคาไม่แพงสมคุณภาพของอาหาร
- หากไปทานแล้วรสชาติเพี้ยนทางร้านยินดีเปลี่ยนจานใหม่ให้ทันที
- อย่าลืม “สีฟ้า” เวลาหิว
ข้อมูลเพิ่มเติม
- เว็บไซต์ Seefah.com
- Facebook Seefah Fan page
- ปัจจุบัน สีฟ้า มีสาขาทั้งหมด 18 สาขา ได้แก่ สยาม, ธนิยะ, พหลโยธิน 37, เมเจอร์รัชโยธิน, ทองหล่อ, แฟชั่นไอส์แลนด์, โลตัสพระราม 4, โลตัสพระราม 3,เทอร์มินัล 21, โลตัสประชาชื่น, โลตัสลาดพร้าว, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, เซ็นทรัลเวิลด์, เอสพลานาด รัชดา, เอสพลานาด งามวงศ์งาน-แคราย, เดอะเซอร์เคิล ราชพฤกษ์, โรงพยาบาลรามาธิบดี และพระราม 9