Jul-2016
GINZA SHABU-TEN @ EMQUARTIER – พรีเมี่ยมชาบูโดยเชฟมิชลินสตาร์ 2 ดาวจากญี่ปุ่น
GINZA SHABU-TEN @ EMQUARTIER
ที่สุดพรีเมี่ยมชาบูต้นตำรับโดยเชฟมิชลินสตาร์ 2 ดาวจากญี่ปุ่น
เมื่อพูดถึงอาหารญี่ปุ่นแล้ว เนื้อวากิว มักเป็นสิ่งหนึ่งที่ติดโผอาหารญี่ปุ่นที่ดีที่สุดเสมอมา ซึ่งปัจจุบันเราเองก็ไม่จำเป็นต้องไปกินถึงญี่ปุ่นอีกแล้ว เพราะมีหลายร้านที่นำเข้าเนื้อคุณภาพสูงเหล่านั้นมาให้เราได้ลิ้มลอง Ginza Shabu-Ten ก็เป็นร้านหนึ่งที่มีเนื้อฮิดะ หนึ่งในสามเนื้อที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นมาให้เราได้ลิ้มลองกัน
ร้าน Ginza Shabu-Ten เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยมเปิดให้บริการอยู่ที่ The Emquartier โซน The Helix ชั้น 8 ซึ่งถ้าเราขึ้นจากลิฟท์มาให้เดินไปทางซ้ายมือ ภายในร้านตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นสวยงาม เน้นการใช้ไม้มาตกแต่ง ร้านจะมีที่นั่งท้ังแบบโต๊ะสำหรับการทานเป็นกลุ่มและมีที่นั่งแบบบาร์แบบที่ชาวญี่ปุ่นชอบด้วยครับ
โดยอาหารหลักของร้าน Ginza Shabu-Ten คือชาบู ที่มีการนำเข้าสุดยอดเนื้อวากิวคุณภาพอย่างเนื้อฮิดะ และเนื้อคุโรเกะวากิว มาให้เราได้ลิ้มลองกันครับ สำหรับคนที่สงสัยว่าการวัดคุณภาพเนื้อวัดกันอย่างไรผมเคยเขียนบทความไว้ ที่นี่ สามารถไปอ่านกันได้ครับ
นอกจากคุณภาพของเนื้อที่สุดติ่งแล้วร้านยังจ้างเชฟมือทองชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งเคยได้รับตำแหน่งเชฟประจำร้านอาหารมิชลินสตาร์ 2 ดาวมาเป็นหัวหน้าเชฟที่ร้านอีกด้วย จึงมั่นใจได้ว่านอกจากคุณภาพอาหารจะเลิศแล้วเรื่องการปรุงอาหารต่างๆก็เด็ดดวงด้วยอย่างแน่นอน
วันที่ผมไปทานได้โชคดีได้เจอกับเชฟโอโนะพอดีเลยได้ถ่ายรูปคู่กันมาด้วยครับ
สำหรับเซตชาบูนั้นจะมีให้เลือก 5 เซตคือ
- Set A เนื้อเซอร์ลอย + หมูคุโรบูตะ 670 บาท
- Set B เนื้อเซอร์ลอย 750 บาท
- Set C หมูคุโรบูตะ 600 บาท
- Set D เนื้อคุโรเกะวากิว 1,800 บาท
- Set E เนื้อฮิดะ 2,400 บาท
แต่ละเซตจะมีเนื้อ 200 กรัม และออเดิร์ฟเป็นเต้าหู้โฮมเมด เซตผัก ข้าว อุด้ง และของหวานให้ ซึ่งในหม้อแรกเราจะต้องสั่งเซตหลังจากนั้นเราสามารถสั่งเฉพาะเนื้ออย่างเดียวได้ซึ่งจะถูกกว่าสั่งเป็นเซต ประมาณ 200 บาทครับ
อาหารทานเล่นแต่จริงจังโดยเชฟชาวญี่ปุ่นระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาว
ก่อนจะเริ่มทานชาบูที่เป็นของเด็ดของร้านเรามาเริ่มจากอาหารทานเล่นกันก่อนดีกว่าครับเริ่มจากเมนู Signature ของร้านคือ Foie Gras Saikyou yaki – ฟัวกราส์ย่างสไตล์เกียวโต โดยรวมถือว่าใช้ได้ครับ แต่ส่วนตัวผมแอบชอบฟัวกราส์ที่ย่างให้เกรียมกว่านี้อีกซักนิดส์หนึ่ง แต่ตัวที่ผมชอบจริงๆกลับเป็นอีกตัวหนึ่งที่นำฟัวกราส์มาทำเหมือนกันนั่นคือ Salmon Foie Gras Miso Yaki หรือ ปลาแซลมอนย่างราดด้วยมิโสะฟัวกราส์ ซึ่งเป็นเมนูที่ลงตัวระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก แซลมอนย่างมาได้พอดีๆราดด้วยซอสด้านบนที่ทำจาก Foie Gras ให้ความหอมหวานตัดกับรสเค็มนิดๆของมิโสะ โดยเฉพาะตรงที่ย่างมาเกรียมๆนิดๆ หอมมากๆครับ ส่วนอีกเมนูหนึ่งที่อร่อยไม่ใช่เล่นคือ Awabi (abalone) steak หรือสเต็กเป๋าฮื้อ ที่ใช้เป๋าฮื้อตัวโตไปย่างไฟพอดีราดด้วยซอสสูตรพิเศษจากทางร้าน เนื้อเป๋าฮื้อทานแล้วสดเด้งหวานมากมาย
ต่อมาก็จะเป็น ผักรวมทอดเสิร์ฟในมะเขือม่วง เมนูนี้ต้องบอกว่าอร่อยอย่างเหลือเชื่อ ตัวผักหลากชนิดทอดได้เหลืองกรอบกำลังดีราดด้วยน้ำซอสเหนียวๆรสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆ ลงตัวดีครับ เมนูถัดมาเป็นปูทาราบะย่างเนย ปูทาราบะเนื้อสดหวานนำไปย่างเนยให้หอมกรุ่นบีบมะนาวลงไปอร่อยฟินครับ และอีกเมนูที่อร่อยแบบไม่น่าเชื่อคือ เต้าหูโฮมเมดทอดราดซอส เต้าหู้ทอดภายนอกได้กรอบกัดเข้าไปจะเป็นเนื้อเต้าหู้นุ่มๆร้อนๆราดด้วยซอสรสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ ทานแล้วสดชื่นดีครับ
ยังไม่หมดครับ ผมยังสั่งมาอีก 3 อย่างคือ Otsukuri Mori เซตซาชิมิ 3 ชนิด ซึ่งจะมีแซลมอน หอยเชลล์ และ ทูน่า Hon Maguro ครับปลาดิบลายสวยและเนื้อดีและสดมากจิ้มโชยุบางๆทานกับวาซาบิ… สุดๆไปเลยครับ ส่วนเมนูซูชิที่เด็ดมากอีกอย่างคือซูชิเนื้อฮิดะและซูชิเนื้อคุโรเกะวากิว สองตัวนี้แม้ราคาจะสูงแต่ว่าให้เนื้อมาแบบไม่มีกั๊กนำไปย่างให้พอสุกเล็กน้อยทานคู่กับวาซาบิอร่อยมากครับ แต่ตัวนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวที่เป็นเนื้อคุโรเกะวากิวเนื้อนุ่มกว่าเนื้อฮิดะ ซึ่งแตกต่างจากชาบูที่เนื้อฮิดะนุ่มละลายกว่าครับ และอีกเมนูหนึ่งที่ได้ลองชิมคือ หอยเชลล์ย่างราดข้าวราดด้วยซอสไข่หอยเม่น เมนูนี้สิ่งที่อร่อยคือตัวหอยเชลล์ที่ชิ้นโตและสด
จริงๆวันนั้นเชฟได้ลองทำเมนูใหม่ของร้านมาให้ชิมด้วยครับ ยังไม่มีชื่อเมนูและยังไม่สรุปว่าจะทำขายหรือไม่ เป็นปูทาราบะกับหอยเชลล์เอาไปย่างเนยกับเห็ดหอมญี่ปุ่น ส่วนตัวผมว่าวัตถุดิบสดใหม่ (เหมือนกับเมนูอื่นๆ) แต่การปรุงรสชาติรู้สึกยังไม่กลมกล่อมเท่าไหร่ คือมันเป็นการผสมผสานระหว่างเนยกับพริก
ชาบูเนื้อฮิดะ และเนื้อคุโรเกะวากิวที่สุดแห่งความฟินที่ต้องลอง
สำหรับของเด็ดที่สุด แน่นอนว่าคือชาบูนั่นเอง ซึ่งตัวเด็ดของเค้าจะมี 2 อย่างคือ เนื้อคุโรเกะวากิว และเนื้อฮิดะช่วงที่ผมไปผู้เชฟกำลังแล่เนื้อเตรียมอยู่พอดีครับ
สำหรับน้ำซุปจะมี 2 แบบให้เลือกครับคือ นำ้ซุปใสสาหร่ายคอมบุ และ น้ำซุปดำแบบสุกียากี้ ซึ่งวันที่ผมไปผมสั่งแบบน้ำซุปใสมาทานกัน เพราะวันนี้มาเน้นหลักที่เนื้อเทพ ดังนั้นเลยเอาน้ำซุปใสเพื่อให้ได้รสชาติของเนื้อแบบเต็มๆ
ปกติแล้วเซตแรกจะต้องสั่งแบบเป็นเซตมาก่อน ผมเลยเริ่มจากตัวรองท็อปคือ เซตเนื้อวากิวคุโรเกะ ปริมาณเนื้อขนาด 200 กรัม เอาแล่บางๆสำหรับทานแบบชาบูแล้วถือว่าไม่น้อยเลยครับ
ซูมดูลายเนื้อให้เห็นกันจะๆ ว่าสวยขนาดไหน
สำหรับตัวน้ำจิ้มทานกับเนื้อทางร้านจะมีให้ 2 ตัวคือน้ำจิ้มพอนซึที่จะออกเปรี้ยว และน้ำจิ้มงา ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาเริ่มทานกันเลยดีกว่า คีบเนื้อขึ้นมาแผ่สวยๆ แล้วลงไปสะดุ้งในน้ำเดือดซัก 5-10 วิหรือแกว่างไปกลับซัก 3 รอบ จะสุกกำลังดีเลยครับ ระวังอย่าให้สุกมากเกินไปนะครับเนื้อจะเสียรสชาติครับ
เรื่องน้ำจิ้มจริงๆแล้วก็แล้วแต่คนชอบนะครับ ส่วนตัวถ้าเอาลิ้นคนไทยผมว่าจิ้มตัวที่เป็นน้ำจิ้มงา ตัวนั้นจะได้รสชาติที่กลมกล่อมอร่อยกำลังดีครับ แต่ถ้าอยากได้รสชาติเนื้อแบบเต็มๆ ผมแนะนำให้จิ้มตัวน้ำจิ้มพอนสึ เนื้อคุโรเกะวากิวนั้นกลิ่นหอมกำลังดีและนุ่มมาก แม้จะไม่ถึงกับละลายถ้าเทียบกับเนื้อฮิดะก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับเนื้อทั่วไปถือว่าแหล่มมากๆครับ
มาต่อกันที่ตัวท็อปนั่นคือเซตเนื้อฮิดะ จานนี้ก็เสิร์ฟมาในขนาดเดียวกันคือ 200 กรัม พูดเลยว่าพอเห็นลายของเนื้อฮิดะนี่แทบจะลืมเนื้อคุโรเกะวากิวไปได้เลยทีเดียว ลายสวยกว่าอย่างเทียบไม่ติด
หลังจากชิมแล้วต้องบอกว่า เนื้อฮิดะ นุ่มละมุนลิ้นกว่าเนื้อวากิวคุโรเกะมากพอสมควรเลยครับ ทานแล้วละลายไปในปากแบบแทบไม่รู้สึกว่ากินเนื้อไป แต่สำหรับใครที่ชอบกินเนื้อแบบให้ได้ฟิลว่ากินเนื้อผมแนะนำตัววากิวคุโรเกะนะครับ เพราะตัวนั้นไขมันจะแทรกไม่เยอะเท่าแต่ก็ให้ความนุ่มที่อลังกาลพอสมควรเลย
ส่วนชาบูอีกสองตัวที่มีคือ เนื้อเซอร์ลอยและหมูคุโรบูตะ พูดได้เลยว่าเทียบสองตัวนี้ไม่ติด ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยนะครับ คุณภาพเนื้อถือว่าดีมากๆ เพียงแต่ผมไปทานหลังจากทานเนื้อเทพฯไปแล้วเลยรู้สึกว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ซึ่งผมแนะนำอย่างนี้ครับ หากจะทานเนื้อเซอร์ลอยและหมูคุโรบูตะ ควรทานคู่กับน้ำสุกียากี้ เพราะจะได้รสชาติของน้ำซุปมาช่วยขับให้เนื้อมีรสชาติมากขึ้น แต่หากทานเนื้อฮิดะหรือเนื้อวากิวคุโรเกะแล้วล่ะก็ ต้องน้ำซุปแบบน้ำใสเท่านั้นไม่อย่างนั้นรสชาติของเนื้อจะถูกกลบไปด้วยรสของน้ำซุปสุกียากี้นั่นเอง
หลังจากอิ่มของคาวกันแล้วก็ปิดท้ายกันด้วยของหวานที่อยู่ในเซตครับ ผมสั่งแบบเซตไป 2 เซตก็มีขนมหวานมา 2 ถ้วยเป็น เยลลี่สาหร่าย กับเชอร์เบตชาเขียว ตัวเยลลี่แปลกดีครับแต่รสชาติเฉยๆ แต่ตัวเชอร์เบตชาเขียวพูดเลยว่าอร่อยมาก เป็นไอศกรีมชาเขียวที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ เพราะทำมาเป็นแบบเชอร์เบต ทานคู่กับถัวแดงที่ให้มา ให้ความรู้สึกสดชื่นประหนึ่งทานพวกน้ำแข็งใสอยู่ครับ
บทสรุป GINZA SHABU-TEN @ EMQUARTIER
สำหรับร้าน Ginza Shabu-Ten ถือเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบพรีเมี่ยมที่ใช้วัตถุดิบที่คัดพิเศษทุกเมนู ทำให้อาหารมีความสดใหม่มาก รวมไปถึงยังได้เชฟระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาวจากญี่ปุ่นมาเป็นเฮดเชฟในการรังสรรค์เมนูอีกด้วย เรียกว่ามาทานอาหารที่นี่แทบจะไม่ต่างจากการไปทานอาหารดีๆที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว
- ชาบูเนื้อเกรดพรีเมี่ยมทั้งคุโรเกะวากิวและเนื้อฮิดะซึ่งเป็นหนึ่งในสามสุดยอดเนื้อของญี่ปุ่น โดยที่สองเมนูนี้ เทียบกันแล้วหากใครที่ชอบทานเนื้อแบบนุ่มละลายจัดๆ ทานแบบละมุนๆ ให้เลือกเนื้อฮิดะ ส่วนใครชอบเนื้อนุ่มๆแต่ต้องการรสชาติของเนื้อให้เลือกเนื้อคุโรเกะวากิว เนื้อทั้งสองแบบนี้ต้องทานกับน้ำซุปใสสาหร่ายคอมบุเท่านั้นเพื่อให้ได้รสชาติของเนื้อแบบเต็มๆ
- เนื้อเซอร์ลอยและหมูคุโรบูตะถือว่าใช้วัตถุดิบที่ดี แต่การมาทานร้านแบบนี้ผมแนะนำว่าให้ข้ามไปทานเนื้อวากิวและเนื้อฮิดะไปเลยจะดีกว่า หรือหากอยากทานสองตัวนี้ผมแนะนำให้ทานคู่กับน้ำซุปแบบสุกียากี้ซึ่งจะขับรสชาติของเนื้อได้ดี
- อาหารญี่ปุ่นอื่นๆที่เป็นซูชิใช้วัตถุดิบที่ดีสดมากๆ
- อาหารญี่ปุ่นที่เป็นพวกแนวต้องปรุง ทำในรูปแบบฟิวชั่น นำจุดเด่นของอาหารฝรั่งและจุดเด่นของความเป็นญี่ปุ่นมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเช่นเมนู แซลมอนย่างราดด้วยมิโสะฟัวกราส์ คือความลงตัวที่สุดถือเป็นเมนูที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
- ราคาอาหารสูงตามวัตถุดิบที่ใช้ แต่ถ้าเทียบกับอาหารที่ประเทศญี่ปุ่นที่ใช้วัตถุดิบในเกรดเดียวกันถือว่าราคาอาหารไม่แพงเลย
- บรรยากาศร้านนั่งสบายๆไม่อึดอัดให้ความเป็นญี่ปุ่น
- เชอร์เบตชาเขียวเป็นของหวานที่ต้องลองอร่อยฟิน
ข้อมูลเพิ่มเติม
ร้าน Ginza Shabu-Ten อยู่ที่ Emquatier ชั้น 8 โซน Helix Quartier
เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. โทร. 02-003-6206
Facebook : Ginza Shabu Ten