Aug-2016
แค่หมื่นเดียว เที่ยวซีอาน ลั่วหยาง เส้าหลิน ย้อนอดีตเส้นทางอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์จีน ตอนที่ 2
แค่หมื่นเดียว เที่ยวซีอาน ลั่วหยาง เส้าหลิน
ย้อนอดีตเส้นทางอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์จีน
ตอนที่ 2 เที่ยวซีอาน ตะลุยสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
ตอนนี้จะเป็นส่วนของการ เที่ยวซีอาน บริเวณรอบๆเมืองกันกับเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวงของจีนมาก่อนในอดีต เมืองที่จิ๋นซีฮ่องเต้ใช้เป็นฐานที่มั่นในการรวมชาติจีน ที่นี่มีอะไรน่าสนใจให้เที่ยวบ้างเราไปดูพร้อมๆกันครับ
สำหรับใครที่ยังไม่อ่านตอนแรกที่พาไปเที่ยว ลั่วหยาง และวัดเส้าหลิน ก็สามารถไปอ่านได้ ที่นี่
สำหรับการเดินทางในซีอานนั้น ผมใช้ Metro รถบัส และการเดินเป็นหลัก โดยที่แผนที่ผมได้โหลดโปรแกรม CityMaps2Go ซึ่งเป็นโปรแกรม Offline Map ไปใช้งาน ตัวแผนที่ถือว่าอัพเดทดีเลยครับ แลจะอัพเดทเกินไปเสียด้วยซ้ำเพราะในแผนที่มีสถานีรถไฟฟ้า Metro สาย 3 ที่จะเปิดในเดือนตุลาคมแล้วด้วย 5555 ซึ่งสาเหตุที่ต้องโหลดไปใช้งานเพราะไม่แน่ใจเรื่องเนตเมืองจีน ที่มันบล๊อค google ซึ่งจะทำให้ผมใช้งาน google map ไม่ได้นั่นเอง
ผมขอเอาแผนที่ Metro มาให้ดูอีกรอบการเดินทางที่เที่ยวต่างๆส่วนมากก็จะอยู่ตามแนว Metro นี่ละครับ
เดินเล่นชิมชมช้อปที่เดินคนเดิน ถนนมุสลิม
เมืองซีอานถือเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยก่อน และเป็นหนึ่งในเมืองที่เปิดรับวัฒนธรรมจากต่างบ้านต่างเมือง ทำให้บรรดาพ่อค้า แม่ค้าที่เป็นแขกขาวในสมัยก่อนที่เข้ามาทำการค้าขายกับจีนนั้นได้มีโอกาสเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ และได้มีการแต่งงานกับหญิงสาวชาวจีน จำเป็นต้นกำเนิดของชุมชนมุสลิมชาวจีนขึ้นมาที่ซีอานแห่งนี้
ปัจจุบันชุมชนมุสลิมจะตั้งรกรากเป็นชุมชนใหญ่อยู่ที่ถนน Bei yuan Men ซึ่งอยู่ด้านหลังหอกลอง และที่นี่เองก็กลายเป็นแหล่งถนนคนเดินที่ขึ้นชื่ออย่างมากของเมืองซีอานแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่มีบรรดานักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นมากมาย มาเดินเล่น เพื่อ ชิม ชม ช้อปที่ถนนแห่งนี้
หยางโร่วช่วน (羊肉串) เมนูเด็ดที่ห้ามพลาด ที่ถนนมุสลิมจะมีร้านขายพวกเนื้อปิ้งเสียบไม้อยู่เต็มไปหมดคล้ายๆกับถนนคนเดินในเมืองอื่นๆ แต่สิ่งที่เด็ดของเมืองนี้คือจะเอาเนื้อแพะ เนื้อแกะ มาทำครับ (ผมไม่ชัวร์ว่าสรุปแล้วคือเนื้อแพะหรือเนื้อแกะ เพราะที่หาข้อมูลมาบอกว่ามันคือเนื้อแพะ แต่คำว่าหยางโร่ว พอแปลออกมาแล้วมันดันแปลว่าเนื้อแกะ)
ที่นี่เค้าจะทำกันสดๆหน้าร้านเลย บางร้านก็เอาแพะมาแขวนหน้าร้าน แล่และเสียบไม้กันตรงนั้นเลย จากนั้นก็เอาไปปิ้งโรยด้วยเครื่องปรุงและพริก ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ได้ลองชิมเนื้อไม่มีกลิ่นสาบเลยครับ อร่อยฟินมากๆ ราคาต่อไม้จะอยู่ราว 3-10 หยวนแล้วแต่ว่าแต่ละร้านจะทำไม้เล็กใหญ่ขนาดไหน
นอกจากเนื้อแพะแล้ว ปลาหมึกปิ้งเสียบไม้ก็เป็นเมนูฮิตที่อร่อยไม่แพ้กันเลยครับ ราคา 2-3 ไม้ต่อ 10 หยวน
โร่วเจียหมัว (肉夹馍) เป็นอีกเมนูที่ผมได้มาชิมที่นี่ เป็นการเอาแป้งบันมาผ่ากลาง แล้วสอดไว้ด้วยเนื้อแพะตุ๋นปรุงรสด้วยพริกตำรับซีอานที่ไม่ต่อยเผ็ดเท่าไหร่ ก่อนที่จะราดด้วยน้ำซุปที่ตุ๋นแพะนั่นล่ะครับ ชิ้นหนึ่งตกราว 15 หยวนเห็นชิ้นไม่ใหญ่ แต่กินแล้วก็ทำเอาจุกได้เหมือนกัน
ในถนนคนเดินยังมีร้านขายของอีกหลายอย่างเช่นพวกขนมต่างๆอาทิขนมตุ๊บตับ รวมไปถึงมีการขายพริกตำรับซีอานอีกด้วย คือมาบดพริกให้เห็นกันจะๆเลยจ้า เห็นแล้วแอบหนักแทน
ตอนแรกว่าจะทาน หยางโร่วเปาหมัว (羊肉泡馍) ซึ่งมีขายเกือบตลอดทางที่เดินที่ถนนมุสลิมนี้ แต่พอเข้าไปนั่งสั่งเกี๊ยวมาทานกับเพื่อน 2 จาน จานแรกเป็นเสี่ยวหลงเปา อีกจานเป็นเกี๊ยวต้มกับซุปเปรี้ยวๆ คือพอเสิร์ฟมาเห้ยยย จานใหญ่มากในราคาแค่จานละ 15 หยวน วันนี้เลยไม่ได้สั่ง หยางโร่วเปาหมัว มากิน เพราะไม่ไหวแล้ววว
อีกอย่างหนึ่งที่ฮิตมากที่เมืองจีนตอนนี้ ปลาหมึกและปูทอดครับ แบบเดียวกับที่ขายที่ไต้หวันเลย มีหลายเจ้ามากๆผมได้ลองชิมอีกวันหนึ่งที่มาเดิน แต่ไม่ได้เลือกเจ้าที่คนเยอะๆนะ เจ้าที่ซื้อแอบรู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ปลาหมึกรสจืดๆ แป้งทอดแล้วแข็งเกินไปหน่อย ส่วนผงที่โรยๆมา รู้สึกว่าโรยไม่ทั่วทำให้รสชาติมันไม่ค่อยเข้ากัน แต่พอกินเยอะๆก็รู้สึกว่ามันเค็มเกินไปหน่อย
ร้านนี้ไอติมทำซะน่ารักเลย แต่อิ่มล่ะชิมไม่ไหวแล้ว
ที่ถนนมุสลิมหากเดินไปจนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายไปตามทางเดินไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจคือ Great Mosque Xian ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงค์ถัง ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้อายุอานามเกือบ 1,300 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศาสนาอิสลามที่ได้เข้ามายังเมืองซีอานนี้นานแล้วตามที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรกนั่นเอง
เดินชิวที่กำแพงเมืองโบราณซีอาน หนึ่งในกำแพงโบราณที่สมบูรณ์ที่สุด
เช้าวันที่ 4 ตอนแรกผมแพลนจะไปเที่ยวชมกองทัพทหารดินเผาซึ่งต้องขึ้นรถจากสถานีรถไฟซีอาน ผมกะว่าจะไปเดินเล่นจากกำแพงเมืองฝั่งเหนือที่ ไปที่สถานีรถไฟ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าสามารถขึ้นไปชม ลงมาแล้วสามารถขึ้นมาใหม่ได้ แต่จริงๆแล้วไม่ได้ ประกอบกับวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งที่สุสานฯ คนน่าจะเยอะมาก ผมเลยตัดสินใจเดินเล่นบนกำแพงเมืองไปก่อนเลย แล้วเอาโปรแกรมไปสุสานย้ายไปวันสุดท้ายก่อนกลับแทน
กำแพงเมืองซีอาน ถือเป็นกำแพงเมืองโบราณที่สร้างไว้ป้องกันข้าศึก มีความสูงประมาณ 12 เมตรสันกำแพงก็กว้างมากถึง 14 เมตร กำแพงโดยรอบเมืองยาวทั้งหมดประมาณ 13 กม. และแน่นอนว่าจะมีช่องยิงธนูจำนวนมากเกือบๆ 6,000 ช่องเลยทีเดียว นอกจากตัวกำแพงเมืองแล้ว ยังมีคูน้ำโดยรอบซึ่งลึก 4 เมตรและกว้าง 4 เมตร ดูๆแล้วยังสงสัยว่าคนสมัยก่อนที่ยกทัพมาตีเมืองมันตีกันไปได้ยังไง
ค่าขึ้นชมกำแพงเมืองจะอยู่ที่คนละ 54 หยวน สามารถขึ้นจากประตูฝั่งไหนก็ได้อันนี้เป็นแผนที่ของกำแพงเมืองครับ
อย่างที่บอกผมเองไปขึ้นที่ประตูฝั่งทิศเหนือ (Anyuan Gate) ซึ่งจริงๆฝั่งนี้จะไม่ค่อยมีอะไรนะครับ ผมแนะนำว่าให้ไปขึ้นที่ฝั่งใต้จะดูสวยงามและอลังกาลกว่าครับ จากฝั่งเหนือมองไปไกลๆพอเห็นหอระฆังของเมืองซีอานได้อยู่ แต่ช่วงเช้าที่ผมไปเดินเล่นหมอกค่อนข้างเยอะ อากาศเลยออกมัวๆไปซักหน่อย
บริเวณด้านบนกำแพงเมืองจะมีเป็นหอสังเกตการณ์อยู่ตามจุดต่างๆบนสันกำแพง แต่ส่วนมากแล้วจะปิดเราไม่สามารถเข้าไปชมภายในได้ครับ
และบนกำแพงเมืองจะมีรถจักรยานให้เช่าสนนราคาอยู่ที่ 45 หยวนต่อ 2 ชม. ซึ่งก็เป็นเวลากำลังดีในการปั่นชมเมืองได้ 1 รอบหรือจะเป็นจักรยานแบบคู่ก็มีนะราคาก็จะเป็น 90 หยวนต่อ 2 ชม.แทนครับ
หรือใครอยากนั่งรถกอล์ฟชมเมืองก็ได้เช่นกัน 1 รอบราคาอยู่ที่ 120 หยวน หรือถ้าไปไม่เต็มรอบก็จะคิดทิศละ 30 หยวน โดนจะมี 4 Stop รถกอล์ฟจะขับตามเข็มนาฬิกาคือ South Gate – West Gate – North Gate – East Gate – South Gate ส่วนตัวแล้วผมว่านั่งรถกอล์ฟเนี่ยดูจะไม่ค่อยได้เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าสะดวกสำหรับผู้สูงอายุดีครับ
และวิธีสุดท้ายก็คือการเดินชมโดยรอบครับ ผมเองก็ใช้วิธีนี้นะ โดยเดินทาง North Gate ตามเข็มนาฬิกาไป East Gate และจบที่ South Gate ระยะรวมก็เกือบๆ 7 กม. เดินไปเรื่อยถ่ายรูปนู่นนั่นนี่ก็ใช้เวลาไปประมาณ 2 ชม.ครับ
ช่วงตั้งแต่ North Gate จนถึง East Gate เป็นช่วงที่ผมว่าไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ช่วง East Gate ไล่ไปจนถึง South Gate จะเป็นช่วงที่คนค่อนข้างเยอะครับ และตรงฝั่ง South Gate ด้านในกำแพงเมืองจะมีเป็นเมืองเมืองโบราณของซีอานอยู่ด้วย ซึ่งตรงนี้จริงๆก็ถือว่าเป็นอีกจุดที่สามารถมาเดินเล่นได้ แต่เสียดายผมไม่ได้มาครับ
เดินเรื่อยมาจนถึง South Gate ก็จะเป็นอีกจุดที่สามารถมองตรงไปยังหอระฆังได้พอดีเลย
หลังจากเดินเล่นเสร็จก็เป็นช่วงใกล้เที่ยงพอดี ผมเลยแวะทานข้าวกลางวันในห้างแถวๆหอระฆัง เพราะเป็นจุดที่ผมต้องไปขึ้นรถบัสเพื่อไปยังเจดีย์ห่านป่าใหญ่ ที่ผมจะไปเที่ยวในช่วงบ่าย ร้านนี้ผมชอบตรงพอสั่งเสร็จเค้าจะเอาประมาณนาฬิกาทราย (แต่อันนี้ด้านในเป็นน้ำมัน) มาตั้ง ซึ่งก็คงการันตีว่าอาหารทั้งหมดจะได้ภายใน 25 นาทีนั่นล่ะ ทีนี้พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เด็กเสิร์ฟจะคอยมาดูว่ามันใกล้ครบเวลาหรือยัง และยังขาดอาหารอะไรบ้างเค้าก็จะรีบไปตามพ่อครัวให้ครับ
มื้อนี้สั่งมาสามอย่างสนนราคาอยู่ที่คนละ 59 หยวน ราคาก็แนวร้านอาหารตามห้างเหมือนบ้านเรานั่นล่ะครับ
สักการะพระถังซัมจั๋งที่เจดีย์ห่านป่าใหญ่
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จผมก็ไปรอรถเมล์จากฝั่งทิศใต้ของหอระฆัง ฝั่งที่จะมุ่งหน้าลงใต้สาย 609 ค่ารถเมล์จะอยู่ที่คนละ 2 หยวน จากรีวิวส่วนมากแล้วจะให้ลงรถที่ด้านหน้าบริเวณลานน้ำพุ แต่จริงๆแล้ว เราสามารถนั่งเลยไปอีก 2 ป้ายไปลงฝั่งด้านหน้าทางเข้าวัดได้เลย แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาชมน้ำพุตอนขากลับแทนก็ได้ จะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปมา 2 รอบครับ
สำหรับใครที่ไปช่วงปลายปี 2016 ก็จะสามารถนั่งรถไฟฟ้า Metro สาย 3 มาลงที่ด้านหน้าบริเวณลานน้ำพุได้เลยจ้า ที่ เจดีย์ห่านป่าใหญ่ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่พระถังซัมจั๋งเคยมาพักแรมอยู่ที่นี่ และมีการเก็บพระสูตรที่สำคัญของพระไตรปิฎกไว้ที่นี่อีกด้วย ที่ด้านหน้าทางเข้าจึงมีรูปปั้นพระถังซัมจั๋งอยู่นั่นเอง
ค่าเข้าชมภายในอยู่ที่คนละ 50 หยวนแต่ไม่รวมค่าขึ้นเจดีย์อีก 30 หยวนนะครับ ช่วงที่ผมไปเจดีย์ซ่อมอยู่พอดี ขึ้นไปก็คงถ่ายวิวอะไรไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจไม่ขึ้นครับ
ด้านหลังเจดีย์จะเป็นส่วนของหมู่อาคารวัดให้ไปเดินเล่นได้ครับ
ขากลับผมเดินวนไปที่ฝั่งลานน้ำพุที่ด้านหลังวัด ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงที่เริ่มแสดงน้ำพุพอดี จริงๆตอนแรกผมอยากมาเก็บภาพที่นี่ช่วงกลางคืน แต่พอเห็นว่าเจดีย์กำลังซ่อมอยู่สุดท้ายเลยเปลี่ยนใจไม่มา และอยู่เก็บภาพแถวหอระฆังแทน การแสดงน้ำพุรอบหนึ่งถือว่าค่อนข้างนาน (ราวๆครึ่งชม.) ช่วงกลางวันพอไม่มีการเปิดไฟแอบรู้สึกว่ามันยังไม่อลังเท่าไหร่ แต่การได้ชมการแสดงน้ำพุตอนบ่ายก็ถือว่าช่วยคลายร้อนได้ดีไม่น้อยเลยครับ
ชมหอระฆัง หอกลอง ความยิ่งใหญ่ที่อยู่คู่เมืองซีอาน
หลังจากนั้นผมก็นั่งรถเมล์กลับไปที่พัก เดินช้อปปิ้งและแอบพักหนีอากาศร้อนช่วงบ่าย แล้วตอนเย็นก็ออกมา เที่ยวหอระฆัง และหอกลองครับ ซึ่ง 2 ที่นี่จะมีตั๋วขายแบบ Combo เข้า 2 ที่เหลือเพียง 50 หยวน ตอนแรกผมกะว่าจะไปที่หอระฆังถ่ายรูปช่วง Twilight เสร็จแล้วรีบวิ่งไปชมหอกลองต่อ แต่ตอนได้ตั๋วมามันไม่ระบุวันที่ ผมเลยเปลี่ยนแพลนเป็นเดินเล่นถ่ายรูปที่หอระฆังอย่างเดียว และไปเที่ยวหอกลองอีกวันหลังกลับจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้แทน
หอระฆังที่เมืองซีอานนั้นถือเป็นหอระฆังโบราณที่ใหญ่โตและสมบูรณ์ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหอระฆังเมืองซีอานนั้นถูกสร้างตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิง(ค.ศ.1384) หรือเกือบๆ 700 ปีที่แล้ว
โดยที่หอระฆังนั้นจะใช้ตียามพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งก็จะตรงกันข้ามกับหอกลองที่ใช้ตีเมื่อยามอาทิตย์ตก ภายในหอระฆัง ตกแต่งสวยงามสไตล์จีนๆ จริงๆแล้วที่นี่จะมีการแสดงดนตรีทุกๆกลางชม. ในช่วงกลางวันด้วยครับ แต่ผมไปตอนค่ำแล้วเลยอดดูเลย
จากหอระฆังมองไปทางทิศใต้ก็จะเจอกับกำแพงเมืองอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
และถ้ามองไปทางทิศตะวันตกก็จะมีหอกลองแห่งเมืองซีอานตั้งตระหง่านอยู่ครับ
สำหรับหอกลองเองก็จะมีการแสดงทุกต้นชั่วโมง ซึ่งเค้าจะจัดเวลาให้เหลื่อมกับการแสดงที่หอระฆังหอกลองผมแวะมาเที่ยววันสุดท้ายก่อนกลับในช่วงบ่าย เลยได้มีโอกาสชมการแสดงตีกลองที่นี่ด้วย ซึ่งผมแนะนำนะ แสดงได้ดีเลยล่ะ เห็นเฮียแกหน้านิ่งๆแบบนี้แต่ตีกลองได้มันส์มาก
ภายในจะมีการจัดแสดงกลองรูปแบบต่างๆ อันนี้เป็นกลองที่ทำจากหิน
ส่วนชั้นบนก็จะมีการจัดแสดงรูปแบบห้องต่างๆของจีนครับ
และก็เป็นจุดชมวิวที่มองย้อนกลับไปที่หอระฆังได้ด้วย
เจาะเวลาหาอดีต ชมความยิ่งใหญ่ของกองทัพทหารดินเผา องครักษ์พิทักษ์สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
วันสุดท้ายของการเดินทางผมไปเที่ยวที่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งก็สบายๆ เพราะไฟลท์กลับของแอร์เอเชีย FD 589 นั้นออกจากซีอานตอน 22:25 ทำให้วันนี้ผมมีเวลาเที่ยวได้ทั้งวันเลย
การไปเที่ยวชมกองทัพทหารดินเผาหรือ ปิงหมาหย่ง นั้นเราจะต้องขึ้นรถจากสถานีรถไฟซีอาน (ตัวที่เป็นสถานีรถไฟธรรมดาที่อยู่กลางเมืองนะครับ) เราสามารถนั่ง Metro ไปลงที่ สถานี Wulukou ได้เลย ออก Exit A แล้วก็เดินต่อไปสถานีรถไฟอีกแค่ราวๆ 500 เมตรเท่านั้น
บริเวณหน้าสถานีรถไฟจะมีร้านอาหารมากมาย สามารถมาฝากท้องที่นี่ก่อนออกไปเที่ยว ปิงหมาหย่ง ได้สบายๆ วันนี้ผมทานร้านที่เป็นเหมือนพวก Fastfood ของจีนครับ คนจีนส่วนใหญ่มักจะทานหมี่กัน แต่ผมแอบเบื่อเลยสั่งเป็นข้าวมาทานกัน มีข้าวราดหน้าหมูพะโล้ไต้หวัน กับอีกจานเป็นข้าวราวหมูเส้นผัดพริก และก็มีกับแกล้มเป็นปาท่องโก๋ ทั้งหมดนี้รวมซอฟท์ดริ๊งค์ด้วยอยู่ที่ 50 หยวน หรือคนละ 25 หยวนเท่านั้นจ้า
การเดินทางไป ปิงหมาหย่ง นั้นเราสามารถใช้รถเมล์ได้ 3 สายคือ 306 (รถบัสท่องเที่ยวสาย 5) คันนี้ค่าบริการอยู่ที่ 7 หยวน หรือจะใช้เป็นบัสสาย 914 หรือ 915 แต่สองสายนี้จะค่อนข้างหวานเย็นกว่า แต่ก็ไม่ต้องต่อคิวนานเท่าสาย 306 และค่าบริการจะเป็น 8 หยวน วันที่ผมไปสาย 306 มีคนเข้าแถวรอร่วมๆ 500 คนแต่ก็รอคิวไม่นานเท่าไหร่ เพราะรถค่อนข้างเยอะ การเดินทางไปยังปิงหมาหย่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครับ
ค่าเข้าชมที่นี่จะอยู่ที่คนละ 150 หยวนเดินตามมาเลยจ้า นี่ขนาดเป็นวันธรรมดานะคนยังมาเที่ยวกันมหาศาล และเช่นเดิมที่นี่ก็เหมือนที่เที่ยวในจีนที่อื่นๆ คือต้องเดินต่อเข้าไปร่วมๆ 1.5 กม. จึงมีบริการรถกอล์ฟในราคา 5 หยวนครับ
ภายในจะมีจุดเที่ยวคือ 1 อาคารพิพิธภัณฑ์ และ 3 หลุมขุดค้น ก็แนะนำให้เริ่มจากอาคารพิพิธภัณฑ์ก่อนเลยจะได้เป็นการปูพื้นประวัติศาสตร์กันก่อน ซึ่งจะมีการจัดแสดงเป็นห้องๆ ซึ่งจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับต้นกำเนิดของอารยธรรมของโลกไล่มาเรื่อยๆ จนมาถึงในยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นล่ะครับ และก็จะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับทหารดินเผาที่ขุดค้นเจอนั่นเอง
แต่น่าเสียดายที่วันที่ผมไป หลายห้องในอาคารพิพิธภัณฑ์ปิดปรับปรุงอยู่เลยได้ดูมาไม่มากครับ
หลังจากเดินเล่นพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาของจริงในการเจาะเวลาหาอดีตแล้วจ้า… หลุมที่อลังกาลที่สุดคือหลุมหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันยังดำเนินการขุดค้นอยู่ ต่างจากหลุม 2 และ 3 ที่ได้หยุดการขุดค้นไปแล้ว
การเจอสุสานฯ ที่นี่นับเป็นความบังเอิญอย่างยิ่ง เพราะมีชาวนาคนหนึ่งพยายามจะขุดน้ำบาดาลทำเป็นบ่อเก็บน้ำ แต่กลับมาเจอสุสานแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ ความยิ่งใหญ่ของสุสานแห่งนี้คือการปั้นดินเผาเป็นรูปทหารและม้าศึกในอิริยาบทต่างๆ ซึ่งทหารที่ว่านี้ก็มีตั้งแต่ทหารทั่วไปยันไปถึงพลทหารชั้นสูงเลย ว่ากันว่ามีทหารดินเผานี้ราว 7,000-8,000 ตัวเลย ที่สำคัญทหารดินเผาทั้งหมดนี้มีขนาดเท่าตัวคนจริงๆ
การสร้างกองทัพทหารนี้เป็นการตั้งใจสร้างขึ้นมาแล้วทำเป็นโครงเพื่อเป็นห้องเก็บ ก่อนที่จะใช้ดินกลบลงไป ซึ่งดูแล้วความเชื่อต่างๆ ก็น่าจะใกล้เคียงกับการสร้างปีระมิดให้ฟาโรห์ในสมัยก่อน เพียงแต่ที่นี่ เป็นการสร้างสุสานฯที่อยู่ใต้ดินแทนครับ
โซนนี้เป็นโซนที่อยู่ระหว่างการขุดค้น มีการติดป้ายหมายเลขต่างๆไว้ด้วย
สำหรับหลุม 2 นั้นก็ถือว่าเป็นหลุมที่ใหญ่โตเช่นกัน แต่ส่วนมากนั้นจะเป็นซากทหารดินเผาที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่
ตัวที่สมบูรณ์จะมีการจับมาแสดงไว้ในกระจกบริเวณทางเดินครับ
สำหรับหลุมสามหลุมสุดท้ายเป็นหลุมเล็กๆ ดูจากรูปลักษณ์และการแต่งกายของหุ่นแล้ว หลุมนี้ถือเป็นหลุมที่ฝังหุ่นทหารที่มียศใหญ่ๆโตๆ ไฮไลท์เด็ดของหลุมนี้คือม้าศึกที่ยังคงสภาพที่สวยงามสมบูรณ์
จากความยิ่งใหญ่อลังกาลของสุสานแห่งนี้ก็ทำให้เห็นว่าในสมัยก่อนนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นมีอำนาจมากขนาดไหน และที่นี่เองนอกจากจะเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับ UNESCO แล้ว ที่นี่ปัจจุบันยังถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งที่แปดอีกด้วย
ขากลับผมนั่งรถเมล์สาย 914 กลับเข้าเมืองครับ ช่วงกลับรถจะมีแวะ รับ-ส่งคนที่ น้ำพุร้อนหยางกุ้ยเฟยด้วยแต่ผมไม่ได้แวะละครับ เพราะเวลาไม่พอแล้วเลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านหน้ามาเฉยๆ
หลังกลับเข้าเมืองผมก็แวะไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โฮสเทล จากนั้นก็ลากกระเป๋ากลับไปที่สถานี Metro Wulukou ที่ทางออก A (ทางเดียวกับที่ไปสถานีรถไฟ) แล้วก็นั่ง Airport Bus ไปยังสนามบินซึ่งเค้าจะไล่ส่งผู้โดยสารตาม Terminal ต่างๆ สำหรับสายการบินแอร์เอเชียก็จะเป็น Terminal 3 จ้า
ไฟลท์กลับ FD 589 เครื่องออกตอน 22:25 ตามกำหนดการเดิมจะถึงไทยตอน 1:25 แต่ปรากฏว่าวันที่ผมกลับ กัปตันซิ่งทำให้ผมมาถึงเร็วกว่ากำหนดเดิมไปครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียวก็เป็นอันว่าจบทริปซีอานลงอย่างสวยงามจ้า
บทสรุปแค่หมื่นเดียว เที่ยวซีอาน ลั่วหยาง เส้าหลิน บินไปกับแอร์เอเชีย
จริงๆแล้วจีนถือว่าเป็นประเทศที่น่าเที่ยวมากประเทศหนึ่ง ด้วยขนาดประเทศที่ใหญ่ทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะที่ซีอานแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของการรวมชาติของจีนแผ่นดินใหญ่เลยทีเดียว ที่สำคัญค่าครองชีพของจีนถือว่าค่อนข้างถูก ค่าใช้จ่ายหลายอย่างถูกกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ เช่นค่ารถไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 2-5 หยวน หรือ 10-25 บาทต่อเที่ยวเท่านั้นเอง
สิ่งเดียวที่ทำให้ดูเหมือนการเที่ยวจีนดูยากก็คือเรื่องภาษา แต่จะว่าไปการเดินทางไปสถานที่เที่ยวต่างๆถือว่ามีรถสาธารณะบริการอย่างทั่วถึงเลยทีเดียว ซึ่งรวมไปถึงบริการขนส่งสาธารณะในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆด้วย ดังนั้นหากเราเตรียมข้อมูลมาซักนิด จีนถือเป็นประเทศที่เที่ยวเองได้ไม่ยากเลย
อันนี้เป็นตารางค่าใช้จ่ายของทริปนี้เฉพาะที่เมืองจีน เบ็ดเสร็จอยู่ที่ 9,990.21 บาทเท่านั้น (ไม่รวมช้อปปิ้ง และค่าตั๋วเครื่องบิน) บอกแล้วครับว่าเที่ยวเมืองจีนไม่แพงเลย
เที่ยวเมืองจีน ขอแค่เตรียมข้อมูลและเปิดใจ ใครๆก็สามารถเที่ยวเองได้และประหยัดเงินอีกด้วย ถ้าถามผมว่าถ้าจะให้ผมกลับไปเที่ยวเมืองจีนอีกมั๊ย ผมพูดได้เต็มปากว่าไปแน่นอนครับ สำหรับวันนี้ผมขอลาไปแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ