Apr-2016
French Riviera Journey: Nice Monaco Marseille Lyon Paris
French Riviera Journey: Nice Monaco Marseille Lyon Paris
ที่สุดแห่งความงามของคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนี่ยน
ปกติแล้วคนไปเที่ยวฝรั่งเศสก็จะนึกถึงแต่มหานครปารีสเป็นจุดหมายหลัก แต่แท้จริงแล้ว ฝรั่งเศสมีที่เที่ยวอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในสถานที่ที่คนนิยมไปมากที่สุดคือบริเวณตอนใต้ที่เรียกกันว่า French Riviera ซึ่งเป็นคาบสมุทรทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ที่ขึ้นชื่อในความงามของท้องทะเล
ผมได้มีโอกาสเดินทางมายังฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งแต่ละครั้งผมก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวในโซนต่างๆทางฝรั่งเศสตั้งแต่มหานครปารีส ป้อมปราการการ์กาซอนทางตอนใต้ ตอนกลางที่เต็มไปด้วยชาโตว์ โซนนอร์ม็องดีที่เป็นที่ตั้งของ Mont Saint Michel โซนอาลซัสที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่น่ารักที่สุดในโลกอย่างโคลม่า จนกระทั่งครั้งล่าสุดผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่แคว้น Provence-Alpes- Côte d’Azur ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและมีชายหาดที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ซึ่งแม้ว่าช่วงที่ผมไปจะไม่ใช่ช่วงยอดฮิตอย่างหน้าร้อนที่บริเวณโพรวองซ์จะเต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเดอร์ และเป็นช่วงที่ฝรั่งนิยมมานอนอาบแดดกันก็ตาม
แต่ French Riviera ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความน่าสนใจ และควรไปให้เห็นกับตาครั้งหนึ่ง
ใครขี้เกียจอ่านรีวิวยาวๆก็สามารถชมแบบ VDO พรางๆได้ที่นี่เลยจ้า
France in the Air บินไปกับ AIRFRANCE
การเดินทางไปยุโรปที่ผ่านมานั้นผมมักจะใช้วิธีเดินทางแบบ Multi City โดยสายการบินแถบตะวันออกกลาง ซึ่งมักจะมาในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ แต่ก็จะแลกกับการที่ต้องไปขึ้นเครื่องที่ประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่เมืองไทย ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมากในการเดินทาง รวมถึงอาจจะต้องไปนอนค้างที่สนามบินในช่วงการต่อเครื่องอีกด้วย แต่ทริปนี้ผมมีเวลาเดินทางไม่มาก (12 วัน) เพราะต้องรีบกลับมาดูแลคุณภริที่ท้องแก่เตรียมคลอดเต็มที่ ผมจึงเลือกใช้บริการของ AIRFRANCE/KLM ซึ่งถือว่าเป็นสายการบินที่มีจุดหมายปลายทางในยุโรปมากที่สุด และที่สำคัญบินตรงไปกลับจาก กรุงเทพฯ ได้เลย
ซึ่งแน่นอนราคาอาจจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอคิดดูดีๆราคาที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็ไม่ได้มากมายเลย โดยเฉพาะช่วงที่ AIRFRANCE มีโปรโมชั่นอยู่ อย่างปัจจุบันการเดินทางไปยุโรปของ AIRFRANCE ก็มีโปรลับๆผ่าน Expedia.co.th ที่ช่วง พฤษภาคม 2559 นี้ราคาเริ่มเพียง 17,xxx บาทเท่านั้น ซึ่งผมเคยโพสโปรนี้ไว้ใน Fanpage ไปแล้วตามนี้ครับ
การเดินทางด้วย AIRFRANCE นั้นจะสะดวกมากที่สุดด้วยการโหลด Application Air France มาใช้ เพราะทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมด้วย Smart phone ที่เราใช้เลย อย่างที่ผมเดินทางในครั้งนี้ ผมไม่ต้องพิมพ์ Boarding Pass หรือไปรับ Boarding Pass จากเค้าท์เตอร์เช็คอินให้กลัวหายแต่อย่างใด เพราะเมื่อผมใช้ iPhone หลังจากทำ mobile check-in ไปแล้วผมจะได้ e-boarding Pass และสามารถ Add ลง Passbook เพื่อใช้แสดงในการเดินทาง รวมถึงใช้มือถือ Scan ในการ Boarding ได้เลย โดยที่สนามบินสุวรรณภูมิผมก็สามารถเดินเอากระเป๋าไป Drop ที่ Row P ได้เลย
อีกข้อดีของการใช้ AIRFRANCE ในการบินไปฝรั่งเศสคือ การบินต่อเครื่องภายในประเทศจะสะดวกมาก เพราะ AIRFRANCE/KLM จะใช้ Terminal 2 ทั้งหมดซึ่งสามารถเดินต่อเครื่องได้รวดเร็วมาก และหากในการต่อเครื่องนั้นสามารถทำการ Stop Over ที่ปารีส และ/หรือ อัมสเตอร์ดัม ได้ด้วย
ผมได้รีวิวสายการบิน AIRFRANCE ไว้แล้ว ที่นี่ สามารถไปชมได้ครับ
TIPINSURE เดินทางอุ่นใจคุ้มครองหายห่วง
การเดินทางไปยังยุโรปแน่นอนว่าในการทำวีซ่านั้นจะต้องมีการทำประกันภัยเดินทางไว้ด้วยตามเงื่อนไขที่เชงเก้นกำหนดมา ซึ่งผมเลือกที่จะทำกับ TIPINSURE ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัททิพยประกันภัย ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดบริษัทหนึ่ง เพราะภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้หากเกิดกรณีที่ต้องเคลม (ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด) จะสามารถเคลมได้ง่ายไม่มีลูกเล่นเหมือนบางบริษัท
ความสะดวกอีกอย่างหนึ่งของ TIPINSURE คือสามารถซื้อได้ทั้งจาก Online ผ่านเว็บไซต์หรือโทรไปที่ Call Center 1736 ก็ได้ อย่างการเดินทางครั้งนี้ของผม มีปัญหาในช่วงการขอวีซ่า วันแรกที่ไปขอพบว่า Passport ผมขาดตรงหน้าข้อมูลส่วนตัว ทำให้ผมไม่สามารถยื่นขอวีซ่าได้ หลังจากไปทำ Passport ใหม่ผมสามารถโทรเข้า Call Center 1736 แจ้งเรื่องเพื่อให้ TIPINSURE ส่งกรมธรรม์แก้ไขมาได้เลย
ถือว่าสะดวกมากๆ
ซึ่งสำหรับการเดินทางต่างประเทศนั้นจริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไร ผมแนะนำว่าเพื่อนๆควรจะทำประกันเอาไว้ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอๆ ผมเองมีประสบการณ์ “รู้งี้ทำประกันไว้ดีกว่า” เกิดขึ้นหลายครั้งจนหลังๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ผมจะทำประกันภัยเดินทางตลอด
GLOBAL WIFI : ที่สุดแห่งความสะดวกสบายในการใช้งานอินเตอร์เนตที่ต่างประเทศ
ปกติแล้วการเดินทางไปยังยุโรป หากผมเดินทางนานและอยู่ในประเทศหนึ่งๆนานผมมักจะเลือกวิธีซื้อซิมของแต่ละประเทศ เพราะราคาค่อนข้างถูก แต่การเดินทางครั้งนี้ผมเดินทางสั้นๆแค่ 12 วัน และมีการเข้าออกระหว่างฝรั่งเศส และโมนาโก หลายวัน การที่จะใช้ซิมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาค่อนข้างวุ่นวายและลำบาก อีกทั้งที่ฝรั่งเศสนั้นการซื้อซิมค่อนข้างยุ่งยาก และเสียเวลา ต้องมีการลงทะเบียนวุ่นวาย ซึ่งในสนามบิน CDG เท่าที่ผมเคยไปมาก่อนหน้านี้ไม่มีช้อป มีแต่ซื้อซิมจากร้านสะดวกซื้อ ซึ่งต้องโทรไปลงทะเบียนวุ่นวายมาก อีกทั้ง Call Center ก็พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ (ส่วนมากที่ผมเคยโทรไปจะพูดฝรั่งเศส) ผมจึงเลือกใช้บริการของ Global wifi ซึ่งให้บริการโดย BS-mobile ที่เป็นเจ้าเดียวกับ Samurai Wifi นั่นล่ะครับ
โดย Global Wifi นั้นสามารถใส่ซิมได้มากถึง 12 ประเทศ ซึ่งราคาจะอยู่ราวๆ 380 บาทต่อวันซึ่งถือว่าถูกกว่าการใช้บริการ Roaming พอสมควร
สำหรับการรับส่งเครื่องนั้นสามารถรับที่สนามบินสุวรรณภูมิได้เลย ซึ่งปัจจุบันตั้งแต่ 1 เมษายน 2559 เป็นต้นมาก็มีบริการรับส่งเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเพิ่มอีกหนึ่งที่แล้ว
สำหรับการใช้งานเครื่อง Pocket Wifi ของ Global Wifi เมื่อเปิดเครื่องแล้ว เครื่องจะตรวจสอบสัญญาณของจุดที่เราอยู่ว่าเป็นประเทศอะไร แล้วเครื่องจะไปเรียกการใช้งานของซิมของประเทศนั้นๆ แต่ในช่วงข้ามแดนเปลี่ยนประเทศควรที่จะ Restart เครื่องใหม่เพื่อให้เครื่องตรวจจับสัญญาณใหม่
เรื่องปริมาณการใช้งานจะไม่ไช่ Unlimit เหมือนการใช้ Pocket wifi ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศจะมี Limit อยู่ที่ 500 Mb -1 Gb ต่อวัน ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อย แต่สิ่งที่พึงระวังคือมือถือจะเข้าใจว่าเป็นการต่อ wifi ทั่วไปซึ่งปกติแล้วเครื่องมักจะเซตให้มีการโหลด VDO หรือ โหลดอัพเดทโปรแกรมต่างๆโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเราต้องไปปิดบริการตรงนี้ออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นรับรองว่าวันที่มีอัพเดทอะไรออกมาแล้วเครื่องไปออโต้อัพเดท เนตวันนั้นหมดแน่นอนครับ อ้อตัวเครื่องจะมีขึ้นปริมาณเนตที่ใช้ให้เราทราบด้วย และจะรีเซตใหม่ตอนเที่ยงคืนของทุกวัน
Voyages-SNCF: Application ที่ต้องมีสำหรับการเที่ยวด้วยรถไฟในฝรั่งเศส
ปกติแล้วการเที่ยวในยุโรปผมมักจะใช้รถเช่าในการเที่ยว แต่การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก ซึ่งผมเลือกที่จะจองรถไฟผ่าน SNCF ซึ่งเป็นเว็บการรถไฟของฝรั่งเศส ซึ่งจะได้ราคาที่ถูกกว่าการจองผ่านเอเยนซี่อย่าง Raileurope เป็นต้น
และถ้ามี Smart phone ไปด้วยสามารถดาวน์โหลด Application ติดเครื่องไปได้เลย
เพราะตั๋วของ SNCF หากเป็นการเดินทางข้ามเมืองส่วนมากแล้วสามารถรับตั๋วแบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้ให้เป็น QR Code บนมือถือของเราได้ และสามารถใช้แสดงกับนายตรวจบนรถไฟได้เลย
แต่ถ้าซื้อตั๋วเป็นใบๆออกมา สิ่งที่ต้องจำไว้ให้แม่นคือ ต้องนำตั๋วไป Validate ที่ตู้เหลืองซึ่งจะอยู่ก่อนถึงทางเข้าชานชลา โดยการ Validate ที่ถูกต้องคือต้องมีการพิมพ์วันที่และเวลาลงมาบนตั๋วด้วย โดยให้ใส่ตั๋วไปด้านริมซ้ายของเครื่อง ถ้าใส่แล้วขึ้นไฟแดงๆไม่มีอะไรพิมพ์ให้ใส่เข้าไปใหม่ โดยชิดซ้ายของเครื่องเข้าไว้จนกว่ามันจะยอมพิมพ์สแตมป์มาให้ ไม่งั้นถ้าขึ้นโดยไม่มีการ Validate แล้วนายตรวจมาตรวจจะโดนปรับแพงเลย
French Riviera Trip Itinerary
การเดินทางท่องเที่ยว French Riviera ครั้งนี้ผมมีเวลา 12 วัน โดยผมแพลนให้ไปจบที่ปารีส เพราะวันสุดท้ายผมจะไปเดินเล่นช้อปปิ้งนั่นเอง ดังนั้นการเดินทางของผมจึงไปเริ่มจากทางใต้นั่นคือ นีซ โดยบินตรงจากกรุงเทพฯด้วยสายการบิน AIRFRANCE ไปลงที่ปารีส ก่อนจะต่อเครื่องที่ CDG ไปลงที่ นีซ เลย แล้วค่อยๆนั่งรถไฟกลับขึ้นมาที่ปารีสก่อนจะนั่งเครื่องกลับไทย
Day 1: Bangkok-CDG-Nice
Day 2: Nice sightseeing
Day 3: Nice – Monaco (Rock of Monaco / Fontvieille) -Nice
Day 4: Nice sightseeing – Monaco (Monte Carlo) -Nice
Day 5: Nice – Cannes – Eze – Monaco – Nice
Day 6: Nice – Marseille
Day 7: Marseille sightseeing
Day 8: Marseille – Lyon
Day 9: Lyon sightseeing – Paris
Day 10: Paris
Day 11: Paris-BKK
Day 12: Arrive Bangkok
จะเห็นว่าที่เที่ยวหลักๆในทริปนี้ของผมจะอยู่ในแคว้น Provence-Alpes- Côte d’Azur เป็นหลักโดยที่ระหว่างทางกลับไปปารีสผมมีแวะตอนกลางของฝรั่งเศสนั่นคือ Lyon ก่อนที่จะขึ้นไปปารีสและกลับ
รูทนี้หากไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปแบบผมที่จัดไปถ่ายรูปช่วง Twilight ที่โมนาโกถึง 3 วันนั้นจริงๆแล้วเพียงแค่ 1 วันเต็มๆก็สามารถเที่ยวโมนาโกจุดไฮไลท์หลักๆได้ครบแล้ว
Nice to meet you
เมืองแรกที่ไปผมไปเที่ยวคือ Nice หรือ นีซ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงในการเที่ยว French Riviera การเดินทางมานีซปกติแล้วสามารถนั่ง TGV มาได้โดยใช้เวลาราวๆ 6 ชม. แต่ผมใช้วิธีบินด้วยสายการบิน AIRFRANCE มาจากกทม. เลยโดยไปต่อเครื่องที่ CDG มาลงที่สนามบิน Côte d’Azur เลย จากสนามบินในปัจจุบันจะใช้ Bus ในการเข้าเมืองซึ่งเป็น Express Bus สนนราคาอยู่ที่เที่ยวละ 6 EUR
ช่วงที่ผมเที่ยว Nice Monaco Cannes Eze นั้นผมใช้วิธีพักที่นีซยาวไปเลย เพื่อความสะดวกไม่ต้องแบกของไปมาระหว่างเมือง แล้วนั่งรถไฟข้ามไปมาระหว่างเมืองเอา ดังนั้นผมเลยเลือกพักที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ Nice-Ville เป็นหลัก ซึ่งครั้งนี้ผมเลือกที่จะพักที่โรงแรม Best Western Hotel Riviera ซึ่งเดินแค่ราวๆ 250 เมตรจากสถานีรถไฟเท่านั้น ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีและถูกที่สุดในบรรดาทุกโรงแรมในทริปนี้เลย นอน 5 คืนตกแล้วเฉลี่ยคืนละ 1,800 บาทหรือคนละ 900 บาท/คน/คืน เท่านั้น
นีซนั้นจะขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทะเลและชายหาด ในช่วงหน้าร้อนซึ่งเป็นหน้าไฮ นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะมาเที่ยวที่นี่กัน ซึ่งดูจากความสวยงามของท้องทะเลแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องชายหาดที่เป็นหาดหินแล้ว ถือว่าทะเลสวยงามมว๊ากกกก สีฟ้าใสสวยสุดๆ ผมให้สูสีกับทะเลอันดามันบ้านเราเลย ภาพนี้ถ่ายจากจุดชมวิว Castle Hill ซึ่งมีลิฟท์บริการฟรี ไม่ต้องเดินให้เมื่อยจ้า
แน่นอนว่าทะเลสวยๆแบบนี้ บรรดาเศรษฐีทั้งหลายก็จะมาล่องเรือยอร์ชเล่นกันอย่างสบายอารมณ์ อีกฝั่งของจุดชมวิว Castle Hill นั้นจะเป็นฝั่งที่เป็นท่าจอดเรือยอร์ช
ที่ Castle Hill ถือเป็นอีกจุดที่สามารถมาถ่ายภาพกลางคืนได้สวยงามมากๆ แต่ข้อควรระวังคือ สวนแห่งนี้จะปิดตอน 6 โมงเย็นซึ่งผมเองตอนแรกเข้าใจว่าจะปิดเฉพาะลิฟท์ และบันไดฝั่งที่เป็นลิฟท์ แต่ที่ไหนได้หลังถ่ายรูปเสร็จทางออกที่จะลงจากเขานี้ปิดหมดทุกทาง และที่โหดไปกว่านั้นคือ ทางออกมักจะอยู่ตรงตีนเขา เท่ากับว่าผมเดินลงมาทางออกนึงปิด ก็ต้องเดินย้อนกลับขึ้นไป เพื่อไปหาทางออกใหม่ ซึ่งสรุปว่าทุกทางออกปิดหมด ผมเลยต้องปีนรั้วสูงกว่า 4 เมตรออกมาแทน แต่ก็แอบงงว่าด้านบนมันมีบ้านอยู่แล้วเค้าเข้าออกกันยังไงนะ..
ริมๆทะเลจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของเมืองนีซ ซึ่งถนนริมหาดจะเป็นเหมือนลานกิจกรรมที่บรรดานักท่องเที่ยวและเจ้าถิ่นมาเดินเล่น บ้างก็มานั่งตกปลา บ้างก็มาฝึกเล่นกีฬา Extreme ไม่ก็มานั่งทอดอารมณ์ริมทะเลกัน
Opera House สิ่งที่บ่งบอกความเป็นยุโรปได้ดีที่สุด
ถัดจากริมหาดย้อนขึ้นไป เพื่อจะกลับไปสถานีรถไฟจะเป็นถนนช้อปปิ้งหลักจากนีซ ซึ่งเส้นนี้จะมีรถรางวิ่งผ่านคอยให้บริการ โดยมีจตุรัส Massena (Place Massena) เป็นจุดที่เวลามีงานเฉลิมฉลองต่างๆจะมีคนมารวมตัวกันที่นี่ ตรงนี้จะมีน้ำพุ Fontaine du Soleil อยู่
ที่นีซเองนอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องชายหาดแล้ว นีซถือว่าเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมด้วย ที่นีซมีพิพิธภัณฑ์มากเป็นอันดับสองรองจากปารีส และในเมืองยังมีโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันหลายโบสถ์เลย ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะนีซเป็นเมืองชายทะเลซึ่ง ในสมัยก่อนจะมีเรือจากหลากหลายเชื้อชาติแล่นมาที่นี่ ทำให้นีซเป็นเสมือนศูนย์รวมชนจากหลากหลายเชื้อชาตินั่นเอง
โบสถ์รัสเซีย (St Nicolas Orthodoxe Cathedral)
โบสถ์สไตล์นีโอโกธิค (Basilique Notre Dame de l’Assomption)
โบสถ์โรมัน (Notre-Dame du Port)
สำหรับนีซนั้นหากมีเวลาพอควรให้เวลาที่นี่ซัก 2-3 วันในกรณีที่มานอนพักที่นีซเป็นศูนย์กลางในการเที่ยว ให้พยายามเลือกวันที่แดดออกเที่ยว แล้วเพื่อนๆจะตกหลุมรักทะเลนีซแห่งคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียนแบบผมแน่นอน
Monaco เมืองแห่งมหาเศรษฐี
โมนาโก ประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก (รองจากนครวาติกัน) แต่ประเทศเล็กๆแบบนี้กลับเป็นประเทศที่มั่งคั่งและมีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่าค่าครองชีพ ค่าอาหารและค่าโรงแรมที่โมนาโกนั้นจึงแพงมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงผมเองจึงอาศัยนีซเป็นฐานบัญชาการในการเที่ยว แล้วค่อยนั่งรถไฟหรือรถบัสไปยัง โมนาโกแทน ซึ่งราคารถบัสก็แสนถูกเพียง 1.5 EUR หรือใครกลัวเมารถก็นั่งรถไฟไปได้ในราคาเพียง 3.9 EUR เท่านั้น ซึ่งส่วนตัวแล้วผมจะใช้บริการรถไฟเสียเป็นส่วนมากเพราะโรงแรมอยู่ติดสถานีรถไฟ ส่วนรถบัสนั้นจะต้องไปขึ้นที่หน้า Notre-Dame du Port ซึ่งห่างจากที่พักไปร่วม 1.5 กม.
ที่เที่ยวโมนาโกหลักๆจะมีอยู่ 2 โซนคือโซนพระราชวัง และโซนมอนติคาโล การเดินทางในโมนาโคควรซื้อตั๋ว 1 Day Pass ใช้ (ราคา 5.5 EUR) ดูข้อมูลรถบัสในโมนาโกได้ ที่นี่ อย่าได้ริเดินเชียว เพราะว่าโมนาโกนั้นพื้นที่เป็นไหล่เขาติดทะเล การเดินไปไหนมาไหนแต่ละจุดจะต้องขึ้นเขาลงเขาเยอะมาก แต่ในโมนาโกเองก็มีการติดตั้งบันไดเลื่อนและลิฟท์ไว้เกือบทั้งประเทศเช่นกัน ซึ่งที่เที่ยวทั้งหมดหากไม่ได้จะถ่ายรูปสามารถเที่ยวได้หมดภายใน 1 วัน แต่ผมเองด้วยเป็นคนชอบถ่ายรูป เลยวางโปรแกรมมาเก็บภาพช่วงแสงเย็นที่นี่มากถึง 3 วัน
ที่เที่ยวโซนพระราชวัง หลักๆคือการขึ้นไปบน Rock of Monaco ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังโมนาโก ซึ่งสามารถนั่งบัสสาย 1 หรือ 2 ขึ้นไปได้
พระราชวังนั้นจะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงตั้งแต่ราวๆเดือน เมษายน – ตุลาคม ของทุกปี ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงกลางมีนาคม เลยเข้าไม่ได้แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน
ที่ด้านบนของ Rock of Monaco นี้จะมีจุดชมวิวสองฝั่ง ฝั่งที่ติดกับหน้าพระราชวังจะเป็นวิวมองไปทางมอนติคาโล ซึ่งจะเป็นเมืองๆๆๆๆ และเมือง รวมถึงโซนคาสิโนต่างๆนั่นเอง
และอีกฝั่งหนึ่งจะถ่ายรูปไปทางฝั่ง Fontvieille ซึ่งเป็นท่าจอดเรือยอร์ชและมีสนามบอล Stade Louis II ของทีมโมนาโคในลีกเอิงตั้งอยู่นั่นเอง
ซึ่งใกล้ๆกันจะมี Saint Nicholas Cathedral ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองอยู่ ถือเป็นอีกจุดที่ห้ามพลาดเลย
ที่เที่ยวโซนคาสิโน (มอนติคาโล) ที่เที่ยวอีกจุดของโมนาโคคือส่วนของมอนติคาโล ซึ่งเป็นส่วนที่มีคาสิโนชื่อดังของโลกอย่างมอนติคาโลตั้งอยู่ ว่ากันว่าคาสิโนที่นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ราชวงศ์ที่เคยเกือบล้มละลาย ฟื้นกลับขึ้นมาได้ ผมได้อ่านข้อมูลมาพบว่า ที่โมนาโกนั้นมีการห้ามไม่ให้คนของตัวเองเข้าคาสิโน (แหม่… กะฟันเงินนักท่องเที่ยวอย่างเดียวเลยซินะ)
ที่ มอนติคาโลคาสิโน นั้นจริงๆแล้วไม่ได้เป็นแค่คาสิโนเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งโรงแรมและโอเปร่าเฮ้าส์อีกด้วย ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปภายในได้ แต่ต้องแต่งกายสุภาพดูดี รองเท้าแตะ รองเท้ากีฬานี่หมดสิทธิ์ แถมหลัง 2 ทุ่มไปบังคับว่าต้องแต่งแจ๊คเกตด้วย ไอ้ผมที่ใส่รองเท้า northface แถมยังสะพายกล้องพะรุงพะรัง ไปไม่ต้องพูดถึงอดเข้าจ้า… ส่วนขาช้อปปิ้ง โซนนี้ถือเป็นสวรรค์เพราะร้านแบรนด์เนมเปิดติดๆกันมากมาย อย่าง Channel นี้มีแทบทุกหัวโค้งเลย
เลยจากคาสิโนลงไปไม่ไกลจะเป็นโรงแรมดังอีกแห่งคือ Fairmont Monte Carlo ที่ว่าดังเพราะตรงนี้จะเป็นมุมโค้งที่สวยเป็นที่นิยมมากที่สุดในการชมการแข่งขันรถแข่ง F1 นั่นเอง
อีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้จัดงาน Golden Foot Award คือ Grimaldi Forum ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมและใช้จัด Event ต่างๆเช่น Concert เป็นต้น ด้านหลังอาคารนี้จะเป็น The Champions Promenade ที่มีการปั๊มเท้าของผู้ที่ได้รับรางวัล Golden Foot Award เอาไว้ด้วย โดยนักบอลคนแรกที่ได้รางวัลนี้คือ Roberto Baggio ในปี 2003 นั่นเอง
อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นครับว่าจริงๆแล้วโมนาโกเป็นประเทศที่เล็กมากที่เที่ยวหลักๆสามารถเที่ยวได้ใน 1 วันก็หมดแล้ว แต่ด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม ผมเลยจัดโปรแกรมมาถ่ายรูปช่วงเย็นที่นี่ถึง 3 วัน วันแรกที่ผมถ่ายรูป ซึ่งผมถ่ายอยู่บริเวณหน้าวัง (ถ่ายวิว) ช่วงแบกขาตั้งกล้องเดินไปเดินมาก็มักจะมีเจ้าหน้าที่มาถามว่า ยูเป็นโปรเฟชชั่นนอล และถามว่าถ่ายไปทำอะไร ซึ่งผมก็ตอบว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวถ่ายเพื่อมาเขียนบล๊อกเรื่องท่องเที่ยว ไม่ได้เป็นช่างภาพมืออาชีพ เขาก็ไม่ได้ว่าก็อะไร วันที่สองตอนผมเดินเล่นหน้าคาสิโนพร้อมแบกขาตั้งกล้องไปมา ก็มีตำรวจเข้ามาคุยด้วยและบอกว่าบริเวณนนี้ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะ (หน้าคาสิโน) เพราะเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ซึ่งผมเดินไปในสวนในคาสิโนก็เห็นป้ายห้ามเช่นกัน ก็เข้าใจว่าห้ามในบริเวณนี้
จนวันที่สามที่ผมมาโมนาโกช่วงเย็นเพื่อมาถ่ายรูปอย่างเดียวบริเวณจุดชมวิว ที่จะถ่าย Rock of Monaco พร้อมจะตั้งกล้องถ่าย Day to Night Time-lapse หลังจากถ่ายไปได้ราวๆ 1 ชม. และเริ่มกางขาตั้งกล้องเพื่อเตรียมถ่ายภาพช่วงเย็น ก็มีตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์มาหาและเข้ามาคุยด้วย พร้อมถามว่าถ่ายอะไร ผมก็อธิบายไป ซึ่งครั้งนี้ตำรวจแจ้งมาอย่างชัดเจนว่าใน โมนาโก มีกฎห้ามใช้ขาตั้งกล้องอย่างเด็ดขาดทั้งประเทศ ซึ่งหากจะใช้ต้องขออนุญาตก่อน ซึ่งหลังจากพูดคุยได้ซักพัก ตำรวจก็บอกว่าส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นประเทศที่มีคนดังมาที่นี่มาก ปาปารัสซี่ก็เยอะ รวมไปถึงที่นี่ยังมีราชวงศ์อยู่ จึงเป็นเหตุผลหลายๆอย่างรวมกันว่า ห้ามใช้ขาตั้งกล้อง ยกเว้นจะมีการขออนุญาตจาก Press Center แล้วเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องมีการขอล่วงหน้าราวๆ 15 วันโดยสามารถขอได้จาก ที่นี่ ซึ่งคนทั่วไปก็สามารถขอได้เช่นกัน
แต่ผมไม่ได้ขอไปดังนั้นในวันนั้นผมยังไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องได้เลย แต่ๆๆๆ ยังโชคดีที่กฎนี้ห้ามเฉพาะขาตั้งกล้อง แต่แคล้มป์สามารถใช้งานได้ และโชคดีที Day to Night Time-lapse ที่ผมตั้งกล้องถ่ายนั้นผมใช้ แคล้มป์หนีบไว้กับเสา ซึ่งตอนแรกผมเกือบจะถอดลงมาแล้ว แต่คุณตำรวจบอกว่าโอเคๆ อันนี้ใช้ได้ ผมก็ ห๊ะ…. แคล้มป์ได้ แต่ขาตั้งกล้องไม่ได้งั้นเหรอ ตำรวจก็บอกว่าใช่ แถมยังแอบแซวกม.ตัวเองด้วยว่า Stupid rule 55555
สรุปวันนั้นผมเลยต้องเล่นกายกรรมเอากล้อง เพลท และสายกล้องเกี่ยวไปมา กับรั้วเหล็กที่มีความกว้างเพียง 5 ซม. แต่ไม่น่าเชื่อมันเกี่ยวอยุ่นะ เลยยังพอถ่ายรูป Rock of Monaco ช่วงกลางคืนกลับมาได้ ซึ่งหลังจากคุยเสร็จตำรวจคนนั้นก็ยืนดูผมถ่ายรูปอยู่ซักพัก ดูว่าผมถ่ายได้โดยไม่ต้องใช้ขา ซัก 15 นาทีก็ขี่มอไซค์กลับออกไป
Cannes : วิถีแห่งพรมแดง
Cannes หรือคานส์ เป็นเมืองที่อยู่ใกล้ๆกับนีซ นั่งรถไฟไปราวครึ่งชม.ก็ถึงละ ซึ่งคานส์เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทางไปมาร์กเซย ซึ่งสามารถแวะเที่ยวก่อนได้ เพราะที่นี่ก็มีบริการฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟด้วย แต่ผมขี้เกียจวุ่นวายเลย ใช้วิธีนั่งรถไฟไปกลับจากนีซแทน โดยวันที่ไปผมให้เวลาสำหรับเดินเที่ยวราว 3 ชม. ก่อนจะนั่งรถไฟย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเอซ (Eze)
คานส์เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในการจัดงาน เทศกาลหนังเมืองคานส์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1946 หรือปีนี้จะเป็นปีที่ 70 เข้าไปแล้ว แต่สำหรับคนไทยที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงหนัง พึ่งจะมารู้จักกันไม่นานจากการที่ดาราบ้านเราได้ไปร่วมเดินพรมแดงนั่นเอง
วันนี้ผมเลยกะว่าจะแวะไปเดินเล่นที่พรมแดงที่ Palais des Festivals et des Congrès เสียหน่อย แต่ๆๆๆๆๆๆ ที่ไหนได้เดินไปถึง ช่วงนั้นดันมีการเตรียมจัดงานอะไรซักอย่างเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโลก กั้นรั้วห้ามเข้าจ้า…. อดไปยืนบนพรมแดงเลยผม T___T
ไม่ได้เดินพรมแดงไม่เป็นไร ไปเดินเล่นชมเมืองก็ได้.. จริงๆแล้ว คานส์ถือเป็นอีกเมืองยอดฮิต และดังในเรื่องชายหาดเช่นเดียวกับนีซ มีชายหาดที่ยาวมาก แต่ส่วนตัวแล้วผมว่าชายหาดที่นีซ สีทะเลสวยกว่าเยอะครับ แต่ที่คานส์ชายหาดจะเป็นทราย (แต่ก็สู้ทรายที่เมืองไทยไม่ได้เลย) ดังนั้นถ้าให้เทียบแล้วผมว่านีซกินขาดแน่นอน
หลังจากผิดหวังจากการไปยืนเก๊กท่าหน้าพรมแดง ผมเลยเบนเข็มไปเดินเล่นที่โซนเมืองเก่าแทน ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเมืองนี้ด้วย ระหว่างทางเดินไปเดินผ่านท่าจอดเรือยอร์ชอีกแล้ววว เมืองแถวนี้ชักจะรวยมากเกินไปล่ะนะ อิจฉาาาา
บริเวณเมืองเก่าเป็นภูเขาย่อมๆ เดินไปถึงด้านบนพอหอบๆ แต่จริงๆที่นี่มีรถรางนำทัวร์ไปถึงนะครับ ด้านบนจะเป็นโบสถ์ Notre-Dame d’Espérance น่าเสียดายที่ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ใกล้ๆกับโบสถ์จะเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งภายในจะมีหอระฆังสามารถถ่ายภาพวิวมุมสูงได้สวยงามมาก
จริงๆผมอยากเดินเล่นที่นี่ต่ออีกหน่อยนะ แต่ว่าวันนั้นผมมีโปรแกรมในการไปเที่ยวที่หมู่บ้านเอซ (Eze) ซึ่งมีรอบรถบัสไปที่หมู่บ้านนี้ค่อนข้างน้อยเลยจำใจต้องรีบจ้ำกลับไปสถานีรถไฟเพื่อไปให้ทันรอบรถไฟ
Eze : เอซหมู่บ้านแห่งเทพนิยาย
หลังจากเดินเล่นที่เมืองคานส์ช่วงเช้าแล้วผมก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่ eze ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ต้องห้ามพลาดในการมาเที่ยวโซนนี้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ซึ่งการเดินทางไปที่นี่หากไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ค่อนข้างเดินทางลำบากซักเล็กน้อย เพราะรอบรถบัสน้อย นั่งรถไฟไปก็ไม่ถึง เพราะรถไฟจะไปส่งที่ด้านล่างของหมู่บ้าน ต้องต่อรถบัสขึ้นไปอีกทอดอยู่ดี ซึ่งรอบรถบัสนั้นจะมีราวๆ 1-2 ชม.ต่อหนึ่งคันเรียกว่าพลาดแล้วพลาดเลยจ้า…
หากเดินทางด้วยรถไฟเมื่อลงสถานี Eze แล้วจะต้องต่อรถบัสสาย 83 ขึ้นไปซึ่งมี ตารางเดินรถ ตามนี้แต่ถ้าใครเดินทางมาจาก Nice ก็สามารถนั่งรถบัสยาวไปได้เลย โดยใช้รถบัสสาย 82 หรือ 112
หลังจากได้ไปเดินเล่นในหมู่บ้านผมว่ามีความละม้ายคล้ายกับการไปเดินเล่นที่ Mont Saint Michel คือเป็นเมืองโบราณมีลักษณะเหมือนป้อมปราการ ที่ Eze ด้านบนสุดจะเป็นสวน Jardine Exotic ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นคาบสมุทร French Riviera ได้สวยมว๊ากกกก
สำหรับขาออกจากหมู่บ้าน ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ สามารถนั่งบัสยาวกลับ Nice เลยก็ได้ แต่อย่างผมนั่งบัสสาย 112 ไปที่โมนาโกเพื่อถ่ายรูปช่วง Twilight ต่อ แล้วค่อยนั่งรถไฟกลับไปนอนที่นีซ
Marseille : มาร์กเซยเมืองหลวงแห่งลาเวนเดอร์
หลังจากเที่ยวโซนนีซและโมนาโกแล้ว ผมก็นั่ง TGV ย้อนกลับไปที่เมืองมาร์กเซยซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของแคว้นโพรวองซ์ซึ่งจุดเด่นของแคว้นนี้คือทุ่งลาเวนเดอร์สุดลูกหูลูกตา ซึ่งถ้ามารวมกับความจุ๊กจิ๊กๆของฝรั่งเศสแล้วมันจะน่ารักมากกกก แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์ยังไม่บาน แล้วผมจะเที่ยวอะไรละ 55555
แต่จริงๆแล้วมาร์กเซยก็มีที่เที่ยวในเมืองอยู่หลายจุดเหมือนกัน โดยเฉพาะบริเวณรอบๆอ่าว (Vieux Port) ที่เที่ยวจะถือว่าเยอะเลยครับ ที่มาร์กเซยผมยังคงเลือกพักที่โรงแรมที่ติดสถานีรถไฟหลักของเมืองคือ สถานีรถไฟ Gare Saint-Charles เพราะจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าไปมาไกลๆ เนื่องจากผมพักที่นี่แค่ 2 คืนก็ต้องย้ายเมืองแล้ว ผมเลือกพักที่ Hotel balladins Marseille Gare ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเชนที่มีโรงแรมหลายที่ในยุโรปเป็นโรงแรม 3 ดาวราคาคืนละ 1,900 บาท หรือเฉลี่ยแค่ 950 บาทต่อคนเท่านั้น
การเดินทางในมาร์เซยถ้าเป็นตั๋วเที่ยวเดียวจะอยู่ที 1.5+0.1 EUR หรือใช้เป็น Day pass ก็จะอยู่ที่ 5 EUR เท่านั้น ดูข้อมูลและแผนที่ได้ที่นี่ ซึ่งผมแนะนำให้ซื้อตั๋ว Day pass ไปเลย เพราะถ้าไม่ซื้อแล้วเดินเล่นรอบอ่าวเนี่ยมีหอบเพราะผมเดินมาแล้วด้วยความแอบงกนั่นเอง เดินรอบอ่าว Vieux Port หนึ่งรอบจัดไปร่วมๆ 4 กม. ยังไม่นับช่วงเดินกลับด้วยนะ 5555
ที่เที่ยวโซน Vieux Port มีหลายจุดเริ่มจากที่ตัว Port เองเลยจะมี Miroir ombrière แอบรู้สึกว่าคล้าย The Bean ที่ชิคาโก ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าสร้างมาเพื่ออะไร รู้แต่ว่าไอ้เจ้ากระจกนี้ออกแบบโดยบริษัทดังแห่งหนึ่ง (ผมจำไม่ได้ละว่าที่ไหน) แต่บริษัทนี้เคยไปออก Exhibition ที่ Mori Tower ที่โตเกียวด้วย ส่วนตัวแล้วผมใช้ประโยชน์จากเจ้ากระจกยักษ์นี้ในการหลบฝน และก็ไว้ถ่ายรูปตัวเองแบบเท่ห์ๆ 555
กระทรวงพาณิชย์
จากกลางอ่าวถ้าเดินตามเข็มนาฬิกาไปจนสุดอ่าว จะเป็นมหาวิทยาลัย Aix-Marseille ซึ่งเปิดให้คนเข้าไปนั่งเล่นในสวนได้ซึ่ง วันอาทิตย์ที่ผมไปเดินเล่นคนเพียบ มานั่งเล่นปิคนิคกันสบายอารมณ์มากๆ ส่วนผมแน่นอนว่ามาที่นี่เพราะถือเป็นจุดชมวิวของมาร์กเซยที่สวยจุดหนึ่งเช่นกัน
ส่วนถ้าเดินทวนเข็มนาฬิกาไปเราจะเจอกับ MUCEM เป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งตอนแรกผมว่าจะเข้าไปเดินเล่น แต่ที่ไหนได้ผมเดินไปถึงเค้าบอกว่าห้ามเอากระเป๋าเข้าไปและที่นี่ไม่มี Locker ให้ฝากกระเป๋าด้วย.. อดเข้าจ้า แต่ไม่เป็นไรเพราะใกล้ๆพิพิธภัณฑ์จะเป็นจุดชมวิวของเมืองเช่นเดียวกับอีกฝั่ง ซึ่งฝั่งนี้ถือเป็นมุมที่ผมว่าสวยที่สุดของมาร์กเซย เพราะจะเห็นโบสถ์ Notre-Dame de la Garde ที่อยู่บนยอดเขาด้วย
เลยจาก MUCEM ไปไม่ไกลจะมีอีกโบสถ์ที่สวยไม่แพ้กัน แต่ช่วงที่ผมไปด้านหน้าโบสถ์ปิดซ่อมอยู่ เลยต้องเดินวนไปถ่ายรูปด้านหลัง แต่ก็กะลังทำถนนใหม่อยู่ดี สรุปมาที่นี่ไม่ได้ภาพสวยๆเลย T___T
ที่เที่ยวโซนนอกเมืองที่ต้องนั่งรถบัส หรือ Metro ออกไปมีอยู่ 3 ที่ที่น่าสนใจเริ่มจากโบสถ์ Notre-Dame de la Garde ที่อยู่บนยอดเขาถึงจะไกลแต่ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ห้ามพลาดของมาร์กเซย ซึ่งที่นี่สามารถนั่งรถเมล์สาย 60 จาก Vieux Port ขึ้นไปได้เลย
โบสถ์ Notre-Dame de la Garde ภายนอกอาจจะไม่สวยงามอะไรมากมาย แต่ภายในนี่ถือว่าทีเด็ดมากสวยงามแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เท่าที่ทราบโบสถ์ที่นี่ทำด้วยหินอ่อน ซึ่งคล้ายกับ Duomo ที่ฟลอเร้นซ์อิตาลี แต่ที่นี่จะใช้หินอ่อน 2 สีมาตกแต่ง
อีกจุดที่น่าไปเที่ยวคือสวนสาธารณะ Parc Longchamp ซึ่งเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพิ่มเฉลิมฉลองการสร้างคลองส่งน้ำจากแม่น้ำ Durance มายังมาร์กเซยได้สำเร็จ ปัจจุบันที่นี่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สองแห่งคือ musée des beaux-arts and natural history museum
ที่สุดท้ายที่ผมได้ไปมาในมาร์กเซยนั่นคือ Stade Velodrome ซึ่งเป็นสนามเหย้าของทีม Olympic Marseille และสนามแห่งนี้จะใช้เป็นหนึ่งในสนามที่จัดการแข่งขันบอล Euro 2016 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพอีกด้วย แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ยังคงมีการใช้สนามในการแข่งขันรวมถึงเป็นช่วงที่มีการปรับปรุงโดยรอบสนามด้วย วันที่ผมไปจึงปิดไม่ให้เข้าชมสนาม ผมเลยถือโอกาสไปเดินเล่นที่หน้าสนามเฉยๆ ปล. ผมนี่ไม่ค่อยมีดวงทางการไปเยี่ยมชมสนามบอลเลย ปีก่อนจะไปสนาม Alliance Arena ที่มิวนิควันที่ไปทัวร์ก็เต็ม รอบนี้วันที่ว่างสนามก็ปิด เห้อ…
ซึ่งหากใครสนใจอยากไปสามารถดูข้อมูลได้จาก ที่นี่ เลย
Only Lyon
วันที่แปดของการเดินทางผมออกจากมาร์กเซยตั้งแต่เช้านั่ง TGV ไปที่เมืองลีออง หรือลียง (Lyon) ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของแคว้น Rhone-Alps ที่ลีอองจะมีสถานีรถไฟหลักอยู่ 2 แห่งคือ Lyon-Part-Dieu และ Gare de Lyon-Perrache ซึ่งถ้าเอาสะดวกในการเที่ยวสถานี Gare de Lyon-Perrache จะสะดวกกว่า แต่การเดินทางจาก Marseille รถไฟจะไปจอดที่ Lyon-Part-Dieu ต้องต่อรถไฟอีกหนึ่งต่อมาที่ Gare de Lyon-Perrache แต่ขากลับไปปารีสจะสามารถขึ้นจากสถานี Gare de Lyon-Perrache ได้เลย สำหรับที่พักก็เหมือนเดิมผมยังเลือกโรงแรมที่ติดสถานีรถไฟเช่นเดิม Hotel de Normandie ซึ่งราคาก็อยู่ที่ 1,800 บาทหรือคืนละ 900 บาทเช่นเดิม เพียงแต่โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 2 ดาวต่างจากที่นีซและมาร์กเซยที่เป็นโรงแรม 3 ดาว สภาพโรงแรมก็สมกับโรงแรม 2 ดาว 5555 แต่ผมพักแค่คืนเดียวก็โอเคอยู่ล่ะ
การเดินทางที่ลีอองจะคล้ายๆที่มาร์กเซย คือมีตั๋วแบบ One day Pass ให้ใช้ราคา 5.5 EUR สามารถใช้ได้ทั้ง Tram Metro บัสรถรางขึ้นเขา ซึ่งถือว่าสะดวกมาก จุดเที่ยวหลักๆของลีอองจะอยู่บริเวณเกาะกลางเมืองซึ่งขนาบข้างด้วยแม่น้ำโรน และแม่น้ำโซน ซึ่งGare de Lyon-Perrache ก็อยู่บนเกาะที่ว่านี่ล่ะครับ
สำหรับที่แรกที่ผมไปเที่ยวคือ Musée des Confluences ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ ตัวอาคารถือว่าดีไซน์ได้ล้ำมากๆ อ้อสำหรับขาปั่นที่ลีอองถือว่าเป็นสวรรค์เลย เพราะเมืองนี้เคลมว่าเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับนักปั่นมากที่สุด ซึ่งในเมืองจะมีจักรยานให้เช่ามากมายเกือบทุกที่เลย
แต่ที่ผมมาที่นี่ไม่ได้กะจะมาเข้าพิพิธภัณฑ์หรอก แต่ทราบมาว่าที่นี่บนชั้นดาดฟ้าเป็นจุดชมวิวเมืองที่ดีจุดหนึ่ง แต่เสียดายว่าวันที่ผมมาหมอกเยอะไปหน่อยถ่ายรูปมาเลยดูฟุ้งๆ
หลักจากนั้นนั่งรถย้อนกลับมาหนึ่งสถานีจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ชื่อ Confluence ซึ่งตรงนี้จะเป็นเขตเมืองใหม่มีการออกแบบอาคารสวยๆมากมาย ใครชอบถ่ายรูปมาเดินเล่นถ่ายที่นี่ก็เพลินไม่เลวเลย
จากนั้นผมรีบขึ้นเขาไปเที่ยวโบสถ์ Notre Dame de Fourviere เพราะวันนี้อากาศยังดีอยู่ แม้ปัจจุบันที่นี่ไม่ใช่โบสถ์หลักของเมือง แต่โบสถ์นี้ถือเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดในเมือง แถมยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองลีอองอีกด้วย
ใกล้ๆกับโบสถ์ Notre Dame de Fourviere จะมีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวคือ Musée Gallo-Romain เป็นซากอัฒจันทร์โรมันคล้ายๆกับ Colosseum อะไรประมาณนั้น แต่ต่างกันที่ มันไม่ได้สร้างขึ้นมาบนพื้นโล่ง แต่สร้างอยู่ในเขา ที่นี่เลยจะไม่เห็นโครงสร้างภายนอก เพราะมันอยู่รวมกับเขาไปแล้ว
หลังจากนั้นผมลงมาที่ด้านล่างเดินเล่นโซนด้านล่างริมแม่น้ำโซน ช่วงเย็นๆตอนแรกๆเมฆเยอะมาก นึกว่าจะถ่ายรูปไม่สวยแล้วที่ไหนได้ก่อนพระอาทิตย์ตกฟ้าระเบิดตู้มมมม กลายเป็นโกโก้ครันช์ เอ้ยยย ไม่ใช่ 55555 ผมเลยเดินเลาะแม่น้ำถ่ายรูปไปเรื่อยๆสนุกไปเลย
วันที่สองในลีอองผมเช็คเอ้าท์แต่เช้า แต่ฝากกระเป๋าที่โรงแรมยาวเลย เพราะวันนี้ผมจอง TGV ไปปารีสไว้ตอน 3 ทุ่ม แต่วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกช่วงบ่ายๆ ช่วงเช้าผมเลยรีบนั่งรถไฟไปบนเขาอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อไปเที่ยวที่ Fresque des Canuts ซึ่งเป็น 3D Street Art บนตึกของบริษัท Avenir ที่มีมาตั้งแต่ปี 1986 แล้วซึ่งผ่านการวาดภาพมาหลายเวอร์ชั่นแล้ว
จาก Fresque des Canuts ผมก็ค่อยๆเดินลงมาด้านล่าง ผ่านทั้ง Hotel de ville และ Opera House
พอเที่ยงปุ๊บก็ได้เรื่องเลย ฝนเริ่มปรอยๆลงมา ช่วงบ่ายผมเลยไม่ค่อยได้เที่ยวไหนล่ะ อาศัยเข้าไปนั่งเล่นตามคาเฟ่ และเดินเข้าโบสถ์ รอถึงช่วงเย็นค่อยวิ่งออกมาถ่ายรูปช่วงทไวไลท์อีกรอบ ซึ่งก็ยังโชคดีที่ช่วงเย็นตอนพระอาทิตย์ตกฝนหยุดพอดี เลยถ่ายรูปได้ง่ายหน่อย โดยวันนี้ผมไปถ่ายอีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งแม่น้ำโรนแล้วก็มาปิดวันที่ PlaceBellecour
หลังจากถ่ายรูปเสร็จผมก็รีบบึ่งกลับที่พักไปเอากระเป๋าแล้วก็ไปสถานีรถไฟขึ้น TGV จากลีอองกลับไปปารีส ระยะทาง 400 กม. ใช้เวลาแค่ 2 ชม.เท่านั้นเอง
Paris มหานครของโลกสวรรค์ของนักช้อป
มาปารีสครั้งนี้ผมมีอยู่แค่ 1 วันเท่านั้นเพราะเอาจริงๆผมเองเคยมาปารีสหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เลยให้เวลากับเมืองอื่นๆแทน แต่ก็จัดโปรแกรมที่ปารีสไว้ 1 วันเอาไว้ช้อปปิ้ง หลักๆเพื่อนผมจะฝากซื้อกระเป๋าลองชอม เพราะผมมีร้านลับที่คนไทยในฝรั่งเศสเคยแนะนำไว้ ซึ่งร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับห้างลาฟาแยตเลย ของที่ขายก็เป็น Collection ใหม่ชนห้างแต่ราคารวมๆแล้วถูกกว่าห้างร่วม 20% ซึ่งผมได้รีวิวร้านนี้ไว้แล้วตามนี้เลยครับ
ส่วนช่วงเย็นผมก็ไปเดินเล่นแถวถนนชองเอลิเซ่ เพราะอยากถ่ายภาพประตูชัยมุมที่ผมเดินตั้งแต่ต้นถนนไปจนถึงประตูชัยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่หามุมไม่เจอ แต่รอบนี้ไม่พลาดละครับ เพราะทำการบ้านมาเรียบร้อย สุดท้ายก็ได้ภาพนี้มาสมใจ
วันรุ่งขึ้นผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน AIRFRANCE ไฟลท์ AF165 ออกจากปารีสช่วงบ่ายสองโมงมาถึงไทยในวันรุ่งขึ้นตอนเจ็ดโมงเช้า ก็เป็นอันว่าจบทริป French Riviera อย่างสมบูรณ์
สรุปทริป French Riviera
สำหรับทริปนี้ถ้าไม่รวมค่าทำวีซ่า ค่าเครื่องบิน และค่าช้อปปิ้งแล้วค่าเที่ยว 12 วันนี้อยู่แค่ 31,000 บาทเท่านั้นถือว่าถูกมากๆสำหรับการเที่ยวฝรั่งเศส ถ้าซื้อตั๋วช่วงโปรดีๆค่าตั๋วก็ไม่เกิน 20,000 บาท นั้นแปลว่าทริปนี้สามารถเที่ยวได้ในราคาแค่ 50,000 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าไม่ได้แพงอย่างที่คิดกัน
ส่วนสถานที่เที่ยวถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย โดยเฉพาะนีซนั้นทะเลสวยมากๆ รวมไปถึงโมนาโกก็เป้นประเทศที่มีเสน่ห์มากๆเลยทีเดียวดังนั้นหากมีโอกาสผมว่าเส้น French Riviera ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นที่น่ามาเที่ยวไม่น้อยเลยครับ