Feb-2016
7 เนื้อย่าง ในโตเกียวที่ต้องโดน
7 เนื้อย่าง ในโตเกียวที่ต้องโดน
สุดยอด “เนื้อย่าง” แนะนำโดยคนไทยที่อาศัยในญี่ปุ่น
โตเกียวถือเป็นสวรรค์ของคนรักเนื้ออย่างแท้จริง
ที่นี่มีร้านเนื้อย่างมากมายเต็มไปหมด นอกจากร้านดังๆที่ทัวร์มักพาไปให้ลองแล้ว
ในญี่ปุ่นยังมีร้านเนื้อย่างที่น่ากินอีกหลายร้าน
วันนี้จะพาไปชมรีวิวกันครับ
ช่วงปลายปีที่ผ่านมาช่วงที่ผมไปล่าใบไม้แดงที่ญี่ปุ่นนั้น
ตอนผมอยากกินเนื้อย่าง ปัญหาหลักๆเลยคือไม่รู้จะกินร้านไหน
ซึ่งพอหารีวิวแนะนำก็พบว่ามักจะมีแต่ร้านแบรนด์เนมที่คนไปกินเอามารีวิวไม่กี่ร้าน
ซึ่งพอคนไม่รู้จะกินร้านไหน เปิดเจอรีวิวนั้นๆก็จะแห่ไปกินแล้วก็กลับมารีวิวอีก
ซึ่งในรีวิวส่วนมากจะยกยอเลิศเลอมาก
อาทิร้าน Gyu-kaku และร้าน Rokkasen
แต่พอผมได้ไปกินแล้วบางร้านผมกลับรู้สึกว่ามันไม่อร่อยเลย
เมือเทียบกับร้านที่คนท้องถิ่นหรือคนไทยที่อาศัยในญี่ปุ่นเคยพาผมไปกิน
เช่น ร้าน One Karubi ที่ผมเคยกินที่นารา
เดือนมกราคม 2016 ที่ผ่านมาผมจัดทริปไปทำงานที่โตเกียวมา 2 อาทิตย์
ผมเลยตัดสินใจตระเวนกินเนื้อย่างร้านต่างๆ
โดยเน้นร้านที่ได้รับการแนะนำจากเพื่อนคนไทยที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น
ซึ่งมีร้านหรูและร้านติดดิน ที่ราคาแต่ละมื้อละ 3,000 เยน – 12,000 เยน
แต่ละร้านก็จะมีจุดเด่น จุดขายของมันเอง
ในรีวิวนี้ผมจะรีวิว 6 ร้าน 7 มื้อ ไปดูพร้อมๆกันเลยค้าบบบ
วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปชมรีวิวพร้อมๆกันเลย โดยผมจะเรียงตามลำดับร้านที่ผมไปกิน
ไม่ได้เรียงตามลำดับความอร่อย เพราะผมว่าสุดท้ายแล้วความอร่อยก็ขึ้นอยู่แต่ละคน
แต่ที่ท้านรีวิวผมจะรีวิวสรุปแต่ละร้านเทียบกันไว้ให้
เนื่องจากรีวิวนี้เป็นรีวิวเกี่ยวกับเนื้อย่างซึ่งจะมีคำศัพท์หลากหลายชวนงง
อาทิ A5 วากิว มัตสึซากะ Harami Kalbi
มันคืออะไรกันบ้างลองไปดูจากบทความนี้ได้ครับ
เหินฟ้าสู่โตเกียวด้วยสายการบิน Thai AirasiaX
การเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการของ Thai AirasiaX ซึ่งจะมีไฟลท์ไปโตเกียววันละ 2 รอบ
ราคาตั๋วมีตั้งแต่ราวๆ 3,000 บาท แต่ผมได้ตั๋วรางวัลมาตั้งแต่ปีที่แล้วเลยจ่ายแค่ค่าภาษี
ผมเลือกไปรอบดึกออกจากดอนเมือง 5 ทุ่ม 45 ไปถึง นาริตะราว 7 โมงกว่า
ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่มีลมส่งพัดแรงทำให้ไปถึงก่อนเวลาจริงเกือบชั่วโมง
แต่ในทางตรงข้ามขากลับก็เป็นลมต้านทำให้บินยาวเกือบ 7 ชั่วโมงเลย
บินครั้งนี้ผมเลือกนั่งโซน Quiet Zone ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 500 บาท
แต่ว่าจะเป็นโซนที่ไม่มีเด็ก (ต่ำกว่า 10 ขวบ) ทำให้ห้องโดยสารเงียบสงบ
และใช้ไฟสีน้ำเงินที่สบายตามากๆ เลยหลับได้สบายสุดๆ
เนื่องจากบินด้วย Lowcost Airline จึงไม่มีอาหาร/น้ำให้กิน
ผมเลยสั่งอาหารน้ำมากิน เพราะการนั่งเครื่องนานๆจะเกิดอาการ Dehydrate ได้
และได้มีโอกาสสั่ง Yamanashi Mochi มาทานด้วย
พูดเลยว่าอร่อยมากๆ
การติดต่อสื่อสารไม่ติดขัดด้วย Samurai Wifi โดย bsMobile
การเดินทางครั้งนี้ผมยังคงใช้บริการ Pocket Wifi จากเมืองไทยเช่นเดิม
เพราะว่าในญี่ปุ่นผมจะใช้ google map เป็นหลัก ดังนั้นอินเตอร์เนตจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
Samurai Wifi นั้นค่าเช่า 1-7 วันแรกอยู่ที่วันละ 200 บาท
หลังจากนั้นอยู่ที่วันละ 100 บาท หรือเฉลี่ยๆแล้วตกวันละ 150 บาทเท่านั้น
ซึ่งเครื่องของ Samurai wifi นั้นจะมีหลายรุ่น รุ่น EMOBILE จะถูกที่สุด
สัญญาณในเมืองจะแรงมาก แต่ไม่เหมาะกับการเอาไปใช่ต่างจังหวัด
แต่ทริปนี้ผมอยู่โตเกียวเป็นหลักจึงไม่มีปัญหา
ร้าน Toraji Tokyo Ebisu
ร้าน Toraji นั้นเป็นร้านเนื้อย่างที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1995
เป็นร้านแบรนด์ใหญ่ที่มีหลากหลายสาขาในญี่ปุ่น
โดยสาขาที่ผมไปทานนั้นอยู่ที่คอมมูนิตี้มอลล์ที่สถานี Maihama
ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่หน้า Tokyo Disneyland
ดังนั้นใครไปเที่ยวดิสนี่ย์แลนด์เสร็จก็มากินต่อได้สะดวกสุดๆ ร้านอยู่ที่ชั้น 3 ของห้าง
ภายในร้านตกแต่งกว้างขวาง บรรยากาศชิว นั่งสบาย
การสั่งอาหารสามารถสั่งผ่าน Tablet ที่อยู่ที่โต๊ะได้เลย
แต่ถ้าไม่คุ้น จะเรียกพนักงานมาสั่งก็ได้
ที่นี่พนักงานบริการดีและเป็นกันเองมาก
โดยการเข้ามารับออร์เดอร์ หรือเสิรฟ์อาหารนั้นจะไม่มายืนค้ำหัวเรา
เรียกว่าแทบจะคลานมาเลยทีเดียว
ที่นี่คุณภาพเนื้อจะเกรดกลางๆทั่วไป
แต่ก็จะมีเนื้อระดับ A5 ให้สั่งได้ 3 เมนู
เริ่มจากเครื่องเคียงแตงกวาจิ้มมิโซะนี่เด็ดมาก
ส่วนน้ำจิ้มจะเป็นน้ำจิ้มแบบคล้ายๆโชยุ ออกเค็มๆ
มีน้ำมะนาว และมิโซะให้ผสม ซึ้งเข้ากันดีเลย
เนื้อย่าง A5 กันก่อนเลยจร้าาาา
ตอนแรกว่าจะสั่ง Chuck of Sirloin กับ Extra Prime Harami
แต่Harami หมดเลยสั่งเป็น Extra Prime Fillet มาแทน
เนื้อจะมาแบบไม่ปรุงรสให้เราได้ลิ้มรสชาติของเนื้อแบบเต็มๆ
น่ากินมั๊ยล่ะ…. มาปิ้งกันเลยดีกว่า
เนื่อย่าง A5 สองชิ้นนี้ถือว่านุ่มกลางๆ ไม่ได้นุ่มละลายเหมือนพวกมัตสึซากะ
แต่ถือว่าอร่อยเลย โดยผมชอบ Chuck of Sirloin มากกว่า
เพราะ Fillet จะมีกลิ่นเนื้อมากไปนิด แต่ถ้าใครไม่ชอบมัน
ผมแนะนำว่าให้กิน Fillet
เนื้อธรรมดาผมสั่งมา 3 อย่าง
Kalbi Boneless rib, Hirekaku Toraji Fillet และ Harami
ทั้งสามอย่างนี้ราคาจะอยู่ราว 1,200 เยน
สามอย่างนี้ก็เป็นไปตามราคา ที่รสชาติจะย่อมลงมาและออกเหนียวกว่า
เวลาทานต้องเน้นจิ้มน้ำจิ้มเพื่อให้ได้รสของน้ำจิ้มแทน
ซึ่งผมว่าจิ้มน้ำจิ้มแล้วตามด้วยมะนาวนี่ก็โอเค
นอกจากนี้ผมสั่งส่วนสันหรือ Kalbi แต่เป็นส่วนที่ดีขึ้น
คือ Diamond Kalbi ราคาชิ้นละ 1,580 เยนมาลองด้วย
ซึ่งชิ้นนี้ผมชอบนะเพราะมีมันแทรกมากขึ้น เคี้ยวหนึบๆไม่เหนียว
และการหมักเนื้อก็ทำมาได้ดี
หลังจากเช็คบิลจะมีไอศกรีมมาให้ทานล้างปากคนละแท่ง
บทสรุป Toraji Tokyo Ebisu
มื้อนี้ทานกัน 4 คนหารออกมาแล้ว สิริรวมคนละ 4,700 เยน
ราคาถือว่ากลางๆ เพราะเอาที่จริงแล้วผมสั่งมามากว่าที่เห็น
คุ้นๆว่ามียัง Kalbi แบบธรรมดาอีก 2-3 จานและมีเบียร์ด้วย
ด้านรสชาติถือว่าธรรมดา สามารถหาร้านที่อร่อยกว่ากินในเมืองไทยได้ไม่ยาก
จุดเด่นคือ สะดวกเหมาะสำหรับครอบครัวที่พาลูกๆมาเที่ยวดิสนีย์แลนด์ แล้วแวะมากิน
การบริการดีมากๆ ที่นั่งกว้างขวางไม่คับแคบ และมีตัวเลือก เนื้อย่าง A5 ให้ลองด้วย
Rokkasen Buffet
มื้อที่ 2 ที่ได้ทาน เนื้อย่าง คือร้าน Rokkasen เป็นร้านดังที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย
เพราะมีรีวิวค่อนข้างเยอะ และร้านอยู่ที่ชินจูกุ ที่ทัวร์มักจะเอาลูกทัวร์มาปล่อยที่นี่
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่สะดวก
Rokkasen อยู่ที่ตึก Shinjuku Sun Flower สถานี Shinjukunishiguchi Exit D4/D5
หรือหากใช้บริการ JR ก็จะเป็นสถานี Shinjuku
หลังออกจากสถานีให้เดินย้อนมาทางเหนือ
ร้านอยู่ที่ชั้น 6-7 แต่ให้เราขึ้นไปที่ช้ัน 6
พื้นที่จะค่อนข้างเล็ก และด้วยความเป็นร้านดัง
ทุกรีวิวจะบอกว่าต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น
สามารถโทรไปจอง หรือมาถึงที่นี่แล้วเขียนใบจองไว้ก็ได้
ที่หน้าร้านจะมีตารางบอกคร่าวๆว่าช่วงเวลาไหนจองได้หรือไม่ได้
แต่จริงๆแล้ว เราสามารถ Walkin ได้ด้วย ผมไปมา 2 ครั้งก็ Walik in ตลอด
เพราะร้านกันที่ส่วนหนึ่งเอาไว้อยู่แล้ว เวลาที่เหมาะที่สุดคือช่วงกลางวันเพราะคนไม่มาก
ให้เรามาเขียนชื่อที่แผ่นนี้ ตอนผมไปมี 3 คิวรอประมาณ 10-20 นาที
โดยให้เขียนจำนวนคนและชื่อลงไป และวงว่าเราจะกินแบบไหน
อันซ้ายที่คนวงเยอะๆคือ Lunch Set (ผมกินไปครั้งก่อนเดี๋ยวจะรีวิวข้างล่าง)
ส่วนอันที่ผมวงด้านขวาคือบุฟเฟ่ต์แบบย่างอย่างเดียว
ซึ่งเป็นแบบที่มีคนรีวิวเยอะมาก ผมเลยมาลองชิมเพื่อเทียบกับร้านอื่นๆในรีวิวนี้
ภายในร้านค่อนข้างแคบ อึดอัดและดูสกปรกที่สุดถ้าเทียบกับทุกร้านในรีวิวนี้
ข้อดีของที่นี่คือมีเมนูภาษาไทยด้วย ซึ่งผมเทียบดูแล้วเหมือนเมนูปกติ
(ผมเคยกินบางร้านในโอซาก้า เมนูภาษาอังกฤษจะมีน้อยกว่าเมนูญี่ปุ่น)
ครั้งนี้ผมเน้นสั่งแต่เนื้อ (1-6) เลย หมู ไก่ ไม่ได้สั่งมาลอง
ร้านจะจัดชุดแรกมาเสิร์ฟให้ก่อน (เป็นธรรมเนียมของการกินบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่น)
เริ่มจากของที่ผมว่าอร่อยที่สุดคือ Short Rib (2) หรือเนื้อไม่ค่อยติดมัน
(มีคนบอกว่าเนื้อตัวนี้เป็นเนื้อ Meltique หรือเนื้อฉีดซึ่งผมก็ไม่ชัวร์เหมือนกัน)
ลิ้นวัว / เนื้อติดมัน(Bone in Short Rib)
เนื้อใต้ปอด (Tripe) / เนื้อสัน (Tender loin) / เนื้อกระดูกติดมัน (Outside Skirt)
มาปิ้งกันเลยจร้า
หลังจากลองกินแล้วพบว่าเบอร์ 2 อร่อยที่สุดจริงๆ เนื้อมีความนุ่มกลางๆ
ต้องทานคู่น้ำจิ้มที่ออกหวานนิดๆ ถึงจะอร่อย ทานเปล่าๆแล้วไม่ค่อยมีรสชาติ
และเนื้อที่นี่ห้ามปิ้งสุกเกินไปนะเพราะถ้าสุก 100% ปุ๊บผมว่ามันแข็งกระด้างไปเลย
ลิ้นวัวเหนียวมาก ไม่โอเค หลายร้านในไทยอร่อยกว่ามาก
เนื้อติดมัน อันนี้ผมว่ามันอร่อยนะ แต่มีบางชิ้นที่เหนียว
เนื้อสัน Tenderloin เฉยๆมากได้ฟิลว่ากินเนื้อ
มีกลิ่นเนื้อแต่ไร้ซึ่งรสชาติใดๆ
อีกสองอย่างก็ธรรมดาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
จะมีส่วนเนื้อใต้ปอดที่จะให้ความรู้สึกเด้งๆมากกว่าส่วนอื่นๆ
ไหนๆก็ทานบุฟเฟ่ต์ก็เลยสั่งผักมาเต็มที่เลย
สั่งข้าวต้มเนื้อติดมันมาลองทานดู
รสชาติใช้ได้ แต่ทานมากแล้วเลี่ยนน่าดู แถมจานค่อนข้างใหญ่
ถ้ามาคนเดียวทานหมดก็อิ่มกลับบ้านได้เลย 555
ข้อดีของ Rokkasen แบบบุฟเฟต์คือจะมีอาหารซีฟู้ดให้ทานด้วย
มีทั้งปลา กุ้ง หอยเชลล์ และปูทาราบะ
แต่รสชาติโดยรวมผมเฉยๆ เพราะถ้าอยากทานปูจริงๆ
ไปทานร้านที่เป็นเฉพาะทางเลยจะอร่อยกว่า
หลังจากอิ่มแล้วก็จะมีไอศกรีมโมจิมาให้ทานคู่กับน้ำชา
บทสรุป Rokkasen Buffet
สนนราคา Buffet เนื้อย่างอย่างเดียวอยู่ที่ราคา 7,300 เยน
ผมพูดอย่างไม่เกรงใจคนที่เคยชมร้านนี้เลยว่า ถือเป็นร้านที่ไม่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมา
รสชาติเนื้อกลางๆ ไม่แย่แต่ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ ผมคาดหวังว่าควรอร่อยกว่านี้
สภาพร้านค่อนข้างแออัด และดูสกปรก
เทียบความคุ้มค่าผมให้พอๆกับร้าน Gyu-Kaku (ร้านนี้ไม่ได้รีวิว)
ซึ่งเป็นร้านเนื้อย่างที่รีวิวเยอะมากอีกร้าน แต่ด้วยราคากับรสชาติแล้ว
ถือว่าไม่ผ่านอย่างแรงเช่นกัน
ข้อดีเดียวที่พอจะให้ได้คือเหมาะสำหรับเด็กโลภที่อยากกินหลายๆอย่าง
คืออยากกินพวกซีฟู้ดด้วย อยากลองกินปูทาราบะ อันนี้อาจจะพอคุ้มขึ้นมาบ้าง
ทั้งนี้ความคิดเห็นนี้ไม่เกี่ยวกับ Rokkasen แบบ Lunch Set ที่กำลังจะรีวิวข้างล่างนี้
และไม่เกี่ยวกับ Buffet อีก 2 แบบที่ราคาแรงไปถึง 25,000 เยนแต่อย่างใด
สรุปแล้วสำหรับคนรัก เนื้อย่าง อยากทานเนื้อย่างอร่อยๆ
ไม่ควรมาทาน Rokkasen Buffet
ROKKASEN – Lunch Set (Matsusaka)
Rokkasen นอกจากแบบบุฟเฟ่ต์แล้ว ยังแบบ A la carte และ Set ด้วย
ผมมีโอกาสมีทานไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ช่วงกลางวันนั้นจะมีเมนูพิเศษที่คนนิยมมาทานคือ Lunch Set
ณ ปัจจุบันจะมีเฉพาะวันธรรมดาเท่านั้น
Lunch Set ทั่วไปราคาจะอยู่แค่ 1,000 -1,500 เยนเท่านั้น
จุดเด่นที่สุดของเมนู Lunch Set คือ
มีเมนู เนื้อมัตสึซากะ ให้ลองทานด้วยแต่ราคาก็แพงขึ้นเยอะจนเกือบ 10,000 เยน
ตอนนั้นไปกัน 2 คนผมสั่ง มัตสึซากะ มาคนละชิ้น
ภาพไม่ค่อยมีนะครับ เพราะรอบนั้นผมไปผมใช้กล้องใหญ่
ไม่สะดวกในการเอามาถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกที่นี่พื้นที่ค่อนข้างแคบ
บางรูปก็ใช้ iPhone ถ่ายมาเลย
Lunch set จนเสิร์ฟมาเป็นเบนโตะ
พระเอกคือเนื้อมัตสึซากะ ที่เอามาเสิร์ฟถือว่าชิ้นใหญ่อยู่นะ
ชิ้นค่อนข้างหนา และมีหลายชิ้น และในเซตจะมีไก่มาให้เราปิ้งทานด้วย
สงสัยกลัวไม่อิ่มแล้วจะไม่มีปัญญาสั่งเพิ่ม 555
ลายแบบนี้ โอวววววววว ปิ้งกันเลยดีกว่า
หลังจากทานแล้วพูดเลยว่านุ่มที่สุดในสามโลกจริงๆ
นุ่มขนาดที่ว่าไม่ต้องเคี้ยวเอาลิ้นดุนๆก็ขาดแล้ว
กัดเนื้อไปมันที่ชุ่มทะลักออกมา รสชาติเนื้อหวานมากๆโดยไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลย
หลังกินหมดไปคนละเบนโตะยังไม่หนำใจอยากกินอีกหน่อย
แต่กลัวสะเทือนตังค์ในกระเป๋า
เลยสั่ง Matsusaka high quality short ribs มาแบ่งกับเพื่อน
แต่ส่งเป็น A la Carte นะไม่ได้สั่งเป็นเซต
ลายสวยมากกกก
หลังจากชิมแล้วถือว่าอร่อยแต่ไม่มาก
รู้สึกว่าชิ้นนี้มีความเหนียวพอดูและเนื้อไม่หวานเท่าแบบแพง
หลังจากอิ่มแล้วก็มีเครื่องดื่ม ชา/กาแฟ มาเสิร์ฟอีกคนละแก้วเป็นอันจบพิธี
บทสรุป Rokkasen Lunch Set (Matsusaka)
สำหรับ Rokkasen Lunch Set หากไม่กินมัตสึซากะผมว่าราคาก็ดูน่าคบหา
เพราะเบนโตะละราวๆ 1,000 เยนเท่านั้น
ส่วนซิกเนเจอร์ของที่นี่จะอยู่ที่เนื้อมัตสึซากะ
ซึ่งแน่นอนว่าราคาแรงมาก แต่ถ้าไม่สนใจเรื่องราคาแล้ว
ผมว่าเป็นเนื้อที่อร่อยมากที่สุดเท่าที่ผมเคยกินมานะ ใกล้เคียงเนื้อโกเบ
แต่ตอนนั้นผมกินเนื้อโกเบส่วนที่เป็น Fillet มันจะได้ฟิลเนื้อกว่านี้
มื้อนี้ 1 เบนโตะ + ครึ่งจาน Matsusaka high quality short ribs
สนนราคาอยู่ที่คนละ 11,500 เยน
ดังนั้นให้ข้อสรุปว่าถ้าคุณรักเนื้อสุดใจขาดดิ้น แล้วอยากมากิน Rokkasen Buffet
ให้คิดใหม่ยอมจ่ายเพิ่มอีกนิดแล้วมากินเป็น Lunch Set Matsusaka ดีกว่า
MIDORIYA
ร้าน Midoriya เป็นร้านเล็กๆไม่มีสาขาอยู่ที่ย่าน Kamiyacho
ที่เป็นย่านคนทำงานของญี่ปุ่น
เป็นร้านที่ไม่มีเว็บไซต์ พิกัดร้านอยู่ที่ 35.663676, 139.746208
นั่งรถใต้ดินมาลงที่สถานี Kamiyacho และออก Exit 3
ร้านอยู่ใต้ดิน เดินตามมาเล้ยยยย ภายในมีสองฝั่งนั่งได้รวมๆได้ซัก 40 คน
เป็นร้านเล็กๆไม่มีสาขา แต่เป็นที่นิยมของคนทำงานในย่านนี้
ผมไปต้นสัปดาห์คนโล่งมาก มีคนนั่งอีกฝั่งแค่โต๊ะเดียวเอง
จุดเด่นของร้านนี้คือจะเป็นร้านที่เสิร์ฟเนื้อระดับ A4-A5 เป็นหลัก
เนื้อย่าง A5 แต่ละวันจะมีไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าร้านไปได้เนื้อจากที่ไหนมาบ้าง
เริ่มจากผักเคียงก่อนเป็นถั่วงอก อันนี้เด็ดที่สุดเด็ดกว่าร้านไหนๆที่ผมรีวิวในบทความนี้
วันที่ผมไปมีเนื้อ A5 อยู่ 3 แบบก็ไม่คิดมากสั่งมาทั้ง 3 แบบ
เท่าที่จำได้จะเป็น
สะโพกจากมิเอะ / ไหล่จากมิเอะ / เนื้อลาย Prime Rib จากฮอกไกโด
เท่าที่กินสะโพกจะหนึบหนับๆ
ไหล่นุ่มมากๆ ส่วนเนื้อลายแอบเฉยๆ
ดังนั้นในบรรดา 3 ชิ้นนี้ผมชอบอันนี้มากที่สุด
แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสะเทือนตังค์ในกระเป๋าเกินไปขอสั่งเนื้อธรรมดามาบ้าง
แต่ในความธรรมดาก็ยังมีลองสั่งเนื้อกวางมา 1 จานด้วย
สรุปมื้อนี้ไปกัน 3 คนสั่งมา 7-8 จานจำไม่ได้ล่ะ 5555
โดยเป็นเนื้อ A5 ไป 5 จาน มาๆ ปิ้งกันเลยจ้า
เนื้อกวางนี่นุ่มเกินคาดและไม่มีกลิ่นสาปเลย อร่อยมาก
ร้าน Midoriya น้ำจิ้มมีเอกลักษณ์ประจำตัว
คือจะทำออกเค็มนิดๆ คล้ายน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว อะไรประมาณนั้น
โดยรวมถือว่าคุณภาพเนื้อดี (ดีกว่า Rokkasen Buffet ดีกว่า Toraji)
แต่รสชาติเองว่า น้ำจิ้มไม่น่าจะถูกปากคนไทยเท่าไหร่
ที่นี่มีเชฟเป็นคนไทยด้วยนะชื่อคุณ ปุ่น
ตอนทานเสร็จเลยขอถ่ายรูปมาซะหน่อย
บทสรุปร้าน Midoriya
ร้านนี้จุดเด่นคือคุณภาพเนื้อ เนื้อทั่วไปราคาถูกและคุณภาพดี
ส่วนเนื้อ A5 นั้นอาจจะต้องเสี่ยงดวงดูว่าวันที่ไปได้เนื้อส่วนไหนมา
เพราะส่วนที่ผมชอบในการมากินครั้งก่อนหน้ามาครั้งนี้ก็ไม่มี
ราคามื้อนี้อยู่ที 6,500 เยนอิ่มมากๆ น่าจะกินเนื้อไปคนละไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล
และอิ่มด้วยเนื้อที่คุณภาพดีจริงๆ
ดังนั้นสำหรับร้านนี้แนะนำสำหรับคนที่ชอบทานเนื้อที่รสชาติเนื้อ
ที่ทานแบบไม่จิ้มน้ำจิ้ม ร้านนี้จัดว่าเด็ดเลย
ร้าน Anrakutei Yakiniku
ร้าน Anrakutei เป็นร้านที่มีสาขาเยอะมากๆในญี่ปุ่นเป็นร้านที่เน้นขายถูก
มีความละม้ายคล้ายคลึงกับร้าน Gyu Kaku ที่มีคนรีวิวเยอะๆ
แต่ Anrakutei จะตั้งอยู่ในทำเลที่ห่างออกมาจากสถานีรถไฟ
เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัวมากกว่า
ต่างจาก Gyu kaku ที่เน้นอยู่ในย่านท่องเที่ยวเน้นกลุ่มวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว
Gyu Kaku นั้นผมมีโอกาสไปกินเมื่อมาญี่ปุ่นตอนปลายปีที่เกียวโต
ลงความเห็นกับเพื่อนๆว่าไม่ผ่านรสชาติไม่คุ้มราคาอย่างแรง
มีดีแค่เป็นบุฟเฟ่ต์ เหมาะสำหรับไปกินแก้ขัดเท่านั้น
ในราคาที่พอๆกันในย่านคันไซให้ลองดูร้านที่ชื่อ One Karubi (ไม่มีในรีวิวนี้นะ)
ร้านนั้นเด็ดกว่าเยอะ เรียกว่าเทียบราคาความคุ้มค่าผมให้เป็นร้านที่หนึ่งในดวงใจเลย
กลับมาที่ร้าน Anrakutei
ร้านที่ผมไปกินนั้นอยู่ที่ Edogawa ห่างจากสถานีรถไฟราวๆ 1 กม.
เท่าที่หาดูย่าน Shinjuku Shibaya Ikebukuro มีร้านที่ติดสถานีรถไฟด้วย
ภายในร้านค่อนข้างกว้าง อย่างที่บอกเหมาะกับการพาครอบครัวมานั่งกินเล่น
และร้านนี้เปิดดึกมากถึงตี 4 นู่นเลย
ที่นี่มีบุฟเฟ่ต์เช่นกันแต่ผมไม่ได้สั่ง
แต่สั่งมาแบบเป็นเซต เซตหลักๆที่ขายมีตามนี้
แต่ถ้าใครอยากจะกินเนื้อที่ดีหน่อยก็มีเมนูพรีเมี่ยมให้สั่งด้วย
มื้อนี้ผมลองสั่งแบบที่คนญี่ปุ่นชอบทานกัน คือสั่งเซตธรรมดาๆนี่ล่ะ
ผมสั่งเป็นเซตราคา 3,280 เยนมากิน
ในเมนูเขียนว่าสามารถทานได้ 3-4 คน ซึ่งวันนี้ผมก็ไปกัน 4 คนนี่ล่ะ
ทีนี่มีน้ำจิ้มอยู่ 3 ขวด โดยมี มิโซะ มะนาว และพริกเผา ให้ปรุงน้ำจิ้มได้
ส่วนน้ำดื่มถ้าจำไม่ผิด คนละราวๆ 300 เยน
จะได้เป็น Drink Bar ที่เติมได้ไม่จำกัด
สั่งเครื่องเคียงและข้าวเหมือนเคย
ผมว่าตัวผักสลัดอร่อยดี
จานที่สั่งมาน้ำหนักรวมกันราวๆ 500 กรัม
ผสมกันทั้ง เนื้อส่วนต่างๆ หมู เบคอน ไส้กรอก
คุณภาพเนื้อกลางๆ แย่กว่า Rokkasen แบบ Buffet แต่ไม่มาก
แต่จะมีการหมักและใส่น้ำซอสราดมาให้ด้วย
เลยทำให้รสชาติที่ออกมาไม่ขี้เหร่
หลังจากจานนี้หมด ยังไม่อิ่มจัดเนื้อแบบดีมาเพิ่มอีกจาน
3,980 เยน หนักราว 300 กรัม จานนี้ในราคาและปริมาณเท่านี้ถือว่าดีงาม
คุณภาพเนื้อดีขึ้นและด้วยน้ำซอสที่ราดมาพอเอาไปปิ้งแล้วถือว่าอร่อยเลย
บทสรุปร้าน Anrakutei Yakiniku
เช็คบิลออกมาแล้วอยู่ที่คนละ 3,300 เยน
ถ้าไม่ได้สั่ง drink bar อาจจะเหลือแค่คนละ 3,000 เยนเท่านั้น
ว่าด้วยคุณภาพของเนื้อ ถือเป็น เนื้อย่าง ที่คุณภาพธรรมดามาก
คุณภาพน่าจะต่ำที่สุดในทุกร้านที่รีวิว
แต่ด้วยราคา และการรู้คุณภาพของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
Anrakutei ใช้การหมักและปรุงรสเนื้อมาผสมผสานเพื่อกลบจุดด้อย
บวกกับน้ำจิ้มที่มีให้ ทำให้รสชาติเนื้อดูดีขึ้นมาน่าดู
ซึ่งถ้าจะให้เปรียบกับเมืองไทย ผมจะนึกถึง BBQ Plaza ที่คุณภาพเนื้องั้นๆ
ไม่ได้หมักอะไรด้วย แต่ชูรสชาติจากน้ำจิ้มที่เป็นสูตรเฉพาะ จึงทำให้คนติดนั่นเอง
ผมที่ชอบกินปิ้งย่างนั้น
นานๆทีก็อยากกิน BBQ Plaza (หมูย่างนะ เพราะเนื้อที่ BBQ plaza ไม่อร่อย) เช่นกัน
ซึ่งผมก็มองว่าการมาทานร้าน Anrakutei ก็ด้วยเหตุผลคล้ายๆกันนั่นล่ะ
ดังนั้นส่วนตัวแล้วผมว่าร้านนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากกินเล่นๆกินขำๆ
หรือใครที่ไม่รู้ว่าจะกินที่ไหน และงบมีไม่มากผมแนะนำให้มาร้านนี้
หรือเอาชัดๆถ้าใครคิดจะไปกิน Gyu Kaku สู้มากินร้านนี้ อร่อย สบาย และชิวกว่าเยอะ
ร้าน Jojoen
ร้านเนื้อย่างร้านสุดท้ายที่ได้กินในทริปที่ผ่านมาคือร้าน Jojoen
ซึ่งส่วนตัวของผมแล้วผมชอบร้านนี้ที่สุดล่ะ
ร้านนี้เป็นร้านที่เป็นเชนใหญ่เช่นกัน สิ่งที่ร้านนี้การีนตีไว้คือ
เนื้อทั้งหมดเป็น เนื้อวากิว ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าอร่อยแน่ๆ
ก่อนวันสุดท้ายผมตั้งใจจะไปกินที่นี่มาก ตอนแรกพี่ที่อยู่ที่ญี่ปุ่นว่าจะพาไป
แต่ในช่วง 12 วันในญี่ปุ่น พี่เขาไปกินเนื้อย่างกับผมมาแล้ว 3 มื้อพี่เขาเลยขอบาย
ผมเลยใช้ Samurai wifi ที่เอาไปนี่แหละ Search ผ่าน Google Map เอา
ก็เจอสาขาที่ใกล้ๆกับที่พักผมคือสาขาที่แถวๆสถานีอุเอโนะ
ผมไปตอน 3 ทุ่มคนแน่นมากๆ แต่ผมแอบมาถ่ายตอนกินเสร็จแล้วแทน
ที่นี่ร้านดูโปร่งโล่งสบาย และสวยงามดูดีมาก
ที่นี่พอไปนั่งเสร็จเค้าจะมาแต่งตัวให้เราเลย
เอาผ้าคลุมมาคลุมสัมภาระของเราให้ทั้งหมด
น้ำจิ้มที่นี่ให้มาสามหลุม ซ้ายขวาก็เป็นน้ำจิ้มหลัก รสชาติใกล้เคียงกันมาก
จะออกหวานๆเค็มๆ ฝั่งซ้ายจะออกเผ็ดขึ้นมานิดหนึ่ง
ส่วนตัวแล้วผมชอบฝั่งขวามากกว่า จิ้มคู่กับมะนาวนิดๆ แซ่บมาก
ส่วนเมนูผมเอามาให้ดูแต่เฉพาะเนื้อนะครับ
เมนูที่นี่ดูแล้วจะซ้ำๆกันคือมี Rib และ Sirloin เป็นหลัก
แต่จะมีการแบ่งเกรดเป็นสามเกรด คือ ธรรมดา Deluxe และ Super Deluxe
วันนั้นไปกินกันแค่ 2 คนเพราะเพื่อนอีกคนที่เดินทางไปด้วยกัน
ล้มละลายยอมแพ้กลับโรงแรมไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ทานเนื้อย่างมา 4 ร้านแล้ว 5555
แต่การไปกิน 2 คนไม่ได้ทำให้การสั่งอาหารของผมลดลงเลย
เริ่มจากเครื่องเคียงและข้าวก่อน ตัว Bibimbap ผมสั่งแบบกระทะร้อน
ซึ่งแพงกว่าแบบใส่ถ้วย 500 เยน ตัวนี้เค้าจะมาทำให้ที่โต๊ะ
คลุกและพลิกข้าวตรงที่ไหม้ๆครกกรอบๆให้เราเลย
ส่วนเมนูเนื้อเริ่มจาก Lightly Roasted Chuck กับ Deluxe Sirloin
ผมสั่ง Rib มาลองทั้ง 3 เกรดเรียงตั้งแต่เกรด Super Deluxe ไปเลย
ซึ่งถ้าดูจากลายเนื้อแล้วผมว่าต่างกันไม่มากเลย
คือแค่เห็นลายเนื้อนี่ก็อยากหยิบเข้าปากแล้ววว
ไม่ได้ๆมาปิ้งก่อนจร้าาา
พูดเลยว่าสมแล้วที่เป็นเนื้อวากิวทั้งหมด เพราะมันนุ่มมากๆทุกเมนู
แม้แต่ Sirloin หรือ Lightly Roasted Chuck ที่จะเป็นส่วนที่เป็นเนื้อแดง
แต่กลับนุ่มและชุ่มลิ้นมาก ยิ่งส่วนที่เป็น Rib ไม่ต้องพูดถึง
ทานแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มเลย ก็อร่อยอยู่แล้ว
ที่สั่งมาทั้งหมดนี้มีเพียง Beef Rib เกรดธรรมดาที่ให้ความรู้สึกเหนียว
แต่ก็ยังนุ่มกว่าหลายร้านที่ทานมา
ดังนั้นถ้าให้แนะนำให้สั่งเนื้อเกรด Deluxe ขึ้นไปรับรองไม่ผิดหวัง
หลังจากทานเสร็จจะมีของหวานเป็นไอศกรีมรูปหัวใจกับชาร้อนให้
คือตอนผมจะถ่ายคุณพนักงานรู้งานมากเอากระดาษห่อตะเกียบที่มีชื่อร้านมาวางให้ด้วย 555
บทสรุปร้าน Jojoen
ร้านนี้เช็คบิลออกมาอยู่ที่คนละ 9,500 เยน
แต่ต้องบอกว่าถ้ามาซัก 3-4 คนราคาต่อคนจะถูกกว่านี้
เพราะเครื่องเคียงและข้าวจะหารกันมากขึ้น
และการที่มา 2 คนทำให้ผมสั่งมากกว่าปกติ เพราะอยากลองชิมหลายๆอย่างดู
ซึ่งที่ทานไป 5 จานนั้นถือว่าอิ่มเกินไปพอสมควร
ผมมองว่าถ้ามา 3-4 คนราคาหารออกมาแล้วไม่น่าเกิน 8,000 เยน
พูดไปแล้วเหมือนว่าจะราคาแพง แต่ต้องไปลืมว่าที่นี่ใช้เนื้อวากิวทุกเมนู
อาจจะเป็นเกรดย่อมๆลงมา ที่ไม่ใช่ A5 ทั้งหมด
แต่ความเป็นวากิวนั้นเป็นสิ่งที่การันตีคุณภาพและความอร่อยได้เป็นอย่างดี
คุณภาพเนื้อถือว่าจัดเต็มมากๆ
บรรยากาศร้านถือว่า กว้างขวาง และนั่งสบาย
การบริการของร้าน แม้ไม่ได้คลานเข่ามาเสิร์ฟเหมือนบางร้าน
โดยรวมถือว่าดีมาก มีการใส่ใจทุกรายละเอียด ทั้งการมาผูกผ้ากันเปื้อนให้
การเอาผ้าคลุมกระเป๋ามาคลุมให้เป็นต้น
ร้านนี้ผมให้ฉายาเลยว่าเป็น King of Wagyu
ถือเป็นร้านที่ผมประทับใจมากที่สุดในรีวิวนี้
ร้าน Chikara Meshi
แม้ร้านนี้ไม่ใช่ร้านเนื้อย่างเหมือน 5 ร้าน 6 มื้อที่ผมรีวิวไป แต่ร้านนี้เป็นร้านข้าวหน้าเนื้อ
ซึ่งจริงๆแล้วถือว่าเป็นร้านอาหารกรรมกรของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับร้านราเมง
แต่ที่ผมเอามาใส่ในรีวิวนี้ด้วยเพราะ ปกติแล้วข้าวหน้าเนื้อ
จะใช้เนื้อต้มมาโปะบนข้าว แต่ร้าน Chikara Meshi ใช้เป็นเนื้อย่างแทน
ร้านนี้ผมกินครั้งแรกที่โอซาก้าอยู่แถวๆนัมบะ
ซึ่งเพื่อนผมที่ทำงานในญี่ปุ่นเป็นคนแนะนำ และผมติดใจจนต้องกินทุกครั้งที่ไปโอซาก้า
(สำหรับร้านที่โอซาก้าอยู่ที่ พิกัด 34.662891, 135.506221)
ซึ่งร้านนี้จริงๆแล้วชื่อภาษญี่ปุ่นจะชื่อว่า 元祖焼き牛丼 東京チカラめし
(Ganso Yakigyuudon Tokyo Chikara Meshi)
แปลประมาณว่า ต้นตำรับข้าวหน้าเนื้อย่าง อาหารเพิ่มพละกำลังแห่งเมืองโตเกียว
ซึ่งพอมารู้ทีหลังก็เลยเอะ มันต้องมีต้นตำรับมาจากโตเกียวสินะ
ผมเลยเอาชื่อร้านมาลองหาดู พบว่าตอนนี้ในโตเกียวมีร้านนี้อยู่ 3-4 สาขา
สาขา Ikebukuro (35.732193, 139.710093)
สาขาชินจูกุ (35.693781, 139.701187)
สาขาโตเกียวสกายทรี และสาขาอุเอโนะ (2 ที่นี่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน 55)
วันที่ผมไปผมไปทานที่สาขา Ikebukuro ร้านเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป
มีเครื่องให้กดเมนู แนะนำให้เลือกเมนู ข้าวหน้าเนื้อย่าง+ชีส
บรรยากาศภายในร้านก็เหมือนร้านทั่วไป ที่นั่งเป็นแบบบาร์เสียเป็นส่วนใหญ่
ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อชีส แล้วเพิ่มไข่ไก่กับสลัด
ไข่ไก่นี่ล่ะ ตัวเด็ดเลยตอกไข่แล้วราดไปบนข้าวหน้าเนื้อชีสที่ร้อนๆ
ไข่จะสุกนิดๆ อารมณ์กินสุกี้จุ่มไข่นั่นล่ะ รสชาติเนื้อจะหวานอร่อยมาก
บทสรุปร้าน Chikara Meshi
ราคาเชตนี้อยู่ที่ 1,000 เยนโดยประมาณ แต่จานนี้เป็นจานไซส์ใหญ่สุดนะ
ซึ่งมีเนื้อย่างอยู่ราวๆไม่ต่ำกว่า 10 ชิ้นเยอะมากๆ ซึ่งถ้าปกติแล้วสั่งซักจานกลางน่าจะอิ่มพอดีๆ
ส่วนถ้าเป็นผู้หญิงผมว่าสั่งจานใหญ่มาแบ่งกัน 2 คนได้สบายเลย
ถือเป็นอาหารมื้อสามัญชนที่คนรักเนื้อไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ถ้าได้ลองทานที่นี่พูดเลยว่าจะลืมร้านตระกูล Yoshinoya Sukiya ไปเลย
เพราะรสชาติเทียบกันไม่ติดกับร้านนี้เลย
ส่วนตัวแล้วผมว่าร้านที่โอซาก้าอร่อยกว่า ที่โตเกียวจะทำออกเค็มกว่าที่โอซาก้า
และราคาที่โตเกียวจะแพงกว่าประมาณ 100 เยน
บทสรุป 7 เนื้อย่าง ในโตเกียวที่ต้องโดน
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับร้านเนื้อ 6 ร้าน 7 มื้อที่ผมเอามาฝากกันในวันนี้
มีใครแทะหน้าจอไปแล้วหรือเปล่า 5555
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นผมขอสรุปรวมๆไว้ตรงนี้
Toraji Tokyo Ebisu
- ราคาถูก (4,700 เยน)
- คุณภาพเนื้อกลางๆ แต่มี A5 ให้ลอง
- น้ำจิ้มธรรมดา
- บริการเลิศ
- ร้านกว้างขวางบรรยากาศดี
- สะดวกสำหรับคนไปเที่ยวดิสนีย์แล้วอยากหาร้านเนื้อย่างทาน
สรุปแล้วกลางๆเมนูส่วนใหญ่ไม่มีอะไรเด่น ยกเว้นการที่มีเมนู A5 ให้ลอง
เหมาะสำหรับคนอยากกินเนื้อขำๆ
Rokkasen-Buffet
- ราคาค่อนข้างแพง (7,300 เยน)
- คุณภาพเนื้อกลางๆ ค่อนไปทางต่ำ
- น้ำจิ้มคล้ายร้านส่วนมากในไทย (หวานๆ)
- บริการธรรมดา
- ร้านแคบอึดอัด และดูสกปรก
- มีเมนูหลากหลายให้ทานทั้ง ปูทาราบะ โฮตาเตะ
- ร้านคนเยอะอาจจะต้องรอคิวนาน
สรุปแล้วไม่คุ้มค่าอย่างแรง ในราคานี้สามารถไปกินท้องแตกอย่างมีคุณภาพที่อื่นๆได้อย่างสบาย
มีดีแค่มีซีฟู้ดให้กิน แต่ถ้าอยากกินจริงๆแนะนำไปกินร้านเฉพาะทางเลยจะดีกว่า
Rokkasen-Lunch (Matsusaka)
- ราคาแรงมาก (11,500 เยน)
- เนื้อมัตสึซากะ
- มีเฉพาะกลางวันวันธรรมดาเท่านั้น
สรุปแล้วเหมาะสำหรับคนอยากลองเนื้อมัตสึซากะเท่านั้น
แม้เนื้อจะอร่อยที่สุดเท่าที่ผมกินๆมา แต่ด้วยราคาที่สูง
หากอยากกินเนื้อดีๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นมัตสึซากะนั้น
สามารถหาจากร้านอื่นๆได้สบาย
Midoriya
- ราคากลางๆ (6,500 เยน)
- คุณภาพเนื้อดี เป็นเนื้อ A4-A5 เป็นส่วนมาก
- เนื้อ A5 แต่ละวันมีไม่เหมือนกัน
- ร้านไม่มีสาขา อยู่ย่านคนทำงาน
- น้ำจิ้มเป็นแบบเต้าเจี้ยว
- บรรยากาศร้านดี แต่ถ้าคนเต็มร้านที่จะแคบไปสักนิด
- บริการกลางๆ
สรุป เหมาะสำหรับคนอยากกินเนื้อคุณภาพดีๆในราคาไม่แรงมาก
แต่ความเห็นส่วนตัวคือ น้ำจิ้มแนวไปนิดอาจจะไม่ถูกปากคนไทยเท่าไหร่
Anrakutei Yakiniku
- ราคาถูก (3,300 เยน)
- คุณภาพเนื้อกลางๆ ค่อนไปทางต่ำ (แย่กว่า Rokkasen Buffet นิดหน่อย)
- หมักเนื้อได้ดี
- น้ำจิ้มอร่อยและหลากหลาย ปรุงเองได้
- การบริการกลางๆ
- บรรยากาศร้านธรรมดา แต่โต๊ะกว้างขวางนั่งสบาย
สรุป เหมาะสำหรับการพาครอบครัวที่มีเด็กไปทาน เพราะราคาไม่แรง
ได้อารมณ์พาครอบครัวไปกิน BBQ Plaza ในเมืองไทย
ถึงคุณภาพเนื้อจะธรรมดา แต่แก้ด้วยการหมักและน้ำจิ้ม
ด้วยราคาที่ถูกถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนงบน้อย
Jojoen
- ราคาสูง (9,500 เยน)
- คุณภาพเนื้อดีมาก (วากิวทุกชิ้น)
- เสริมความอร่อยด้วยการหมักเบาๆ ที่ยังไม่กลบรสชาติของเนื้อ
- บริการและบรรยากาศร้านดีมาก
- โต๊ะกว้างขวาง นั่งสบาย ดูหรู
- น้ำจิ้มอร่อย (แต่แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องจิ้ม)
สรุป สำหรับคนรักเนื้อย่าง ไม่ควรพลาดร้านนี้เด็ดขาด
ให้ฉายาว่า King of Wagyu ได้อย่างไม่ขัดเขิน เหมาะสำหรับคนอยากกินเนื้อดีๆ
เหมาะสำหรับคู่รักไปนั่งกินชิวๆ เบาๆ กินเนื้อไปพลางจิบไวน์ไปพลาง
ทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิว 7 เนื้อย่าง ในโตเกียวที่ต้องโดน
หวังว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้คนที่อยากไปลิ้มรสเนื้อย่างในการไปเที่ยวญี่ปุ่นได้
ทั้งนี้ความชอบในรสชาติอาหารเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล
หลายอย่างที่ผมชอบ คนอื่นอาจจะไม่ชอบ
หลายอย่างที่คนอื่นชอบ ผมอาจจะไม่ชอบก็ได้
ดังนั้นในรีวิวนี้จึงเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเองเท่านั้น
สำหรับวันนี้ลาไปแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ
สำหรับใครสนใจไปตามรอยและอยากหาโรงแรมที่พัก
ผมได้รีวิวโรงแรมที่โตเกียวย่าอาซากุสะไว้สองแห่งตามนี้สามารถไปอ่านได้ครับ
หากต้องการเช็คราคาโรงแรมอื่นๆในโตเกียวสามารถเช็คได้เลยจ้า
Voucher Code ลด 10% ของ expedia.co.th