Dec-2015
แม่ลาคิทเช่น สุดยอดปลาเผา ตำนานความอร่อย คู่เมืองทองธานี
แม่ลาคิทเช่น Mae-La Kitchen
สุดยอดปลาเผา ตำนานความอร่อย คู่เมืองทองธานี
สมัยก่อนหากอยากกินปลาเผาอร่อยๆ เราจะนึกถึงสิงห์บุรี
ต้นตำรับแม่ลาปลาเผา ที่ใช้ปลาจากแม่น้ำลาที่ตัวอวบอ้วนน่ากิน
แต่ปัจจุบันที่ แม่ลาคิทเช่น เมืองทองธานี ได้นำความอร่อยนั้นมาเสิร์ฟถึงที่แล้ว
ช่วงปลายปี 2015 ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสนัดรวมตัวกับเพื่อนๆ เพื่อสังสรรค์
และนัดคุยงานที่จะทำร่วมกันในปี 2016
ผมเลยเลือกร้านอาหารร้านประจำที่ผมมักแวะเวียนไปกินกับเพื่อนๆเสมอแถวเมืองทองธานี
นั่นคือร้าน แม่ลาคิทเช่น Mae-La Kitchen
ซึ่งร้านพึ่งย้ายที่ ปรังปรุงและเปิดใหม่ได้ไม่นาน
ส่วนหนึ่งก็เพราะที่นี่เดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน
ไม่ว่าอยู่มุมไหนในกรุงเทพฯก็สามารถมาได้โดยไม่ยาก
ทั้งนี้สามารถค้นหาใน google map ด้วยชื่อ แม่ลาคิทเช่น ได้เลย
หรือไม่ก็ใส่พิกัด 13.913974, 100.542479 ก็ได้เช่นกัน
เอาล่ะครับตามมากันเล้ยยยย
แม่ลาคิทเช่น แต่เดิมชื่อร้านแม่ลาปลาเผาเมืองทองธานี
แน่นอนว่าการที่ใช้ชื่อ แม่ลาปลาเผา ในอดีตนั้น
ก็เพราะผู้บุกเบิกที่เป็นหุ้นส่วนนั้นเป็นเจ้าของต้นตำรับของแม่ลาปลาเผานั่นเอง
ปัจจุบันร้านได้ถูกส่งต่อมายังคุณบอยซึ่งเป็นรุ่นที่สอง
จึงได้มีการปรับโฉมร้านและเปลี่ยนมาเป็นชื่อร้าน แม่ลาคิทเช่น
ตัวร้านภายนอกเน้นตกแต่งด้วยกระจกทำให้ร้านดูโปร่งสบายและทันสมัย
ผมชอบกำแพงฝั่งนี้มากเลยดูสวยดี
ที่ร้านหากเดินผ่านส่วนกระจกเข้ามาแล้ว ด้านหลังจะมีส่วนของสวนให้นั่งแบบเอ้าท์ดอร์ได้ด้วย
ช่วงหน้าหนาวที่อากาศเย็นๆ ไปนั่งจิบเบียร์นี่อย่างชิวเลย
เอาล่ะครับมาเริ่มทานอาหารกันก่อนเลยดีกว่า
ไปช่วงบ่ายสั่งน้ำเย็นๆมาก่อนเลย แตงโมปั่น และ มะนาวโซดา
ช่วงบ่ายๆกินน้ำผลไม้แบบนี้สดชื่นมว๊าก
สำหรับอาหารอย่างแรกเริ่มที่ ปลาช่อนแม่ลาเผา เลยจ้า
ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ ผมได้ถามคุณบอยเจ้าของร้านว่ามีเคล็ดลับอะไรมั๊ยสำหรับจานนี้
ได้คำคอบว่าสิ่งสำคัญคือ “ปลาช่อน” ที่นำมาจากแม่น้ำลาในสิงห์บุรี
ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งความใหญ่โตของแม่น้ำ
ทำให้นอกจากจะได้ปลาที่ตัวโตแล้ว ปลาที่นี่ยังไม่ค่อยมีกลิ่นสาปโคลนอีกด้วย
ส่วนเคล็ดลับในการปรุง นอกจากเรื่องความสดของปลาที่สั่งกันมาวันต่อวันแล้ว
ยังใช้การเผาด้วยกาบมะพร้าวราวๆ 45 นาที ทำให้ได้ปลาที่กลิ่นหอมหวนชวนทาน
ซูมไปดูใกล้ๆเนื้อปลานุ่มชุ่มน่าทาน ไม่มีกลิ่นคาวเลย
สามารถเลือกทานคู่กับน้ำจิ้มสองสไตล์คือ น้ำจิ้มซีฟู้ด และน้ำจิ้มมะขามเปียก
แต่เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ทานคู่กับน้ำจิ้มพร้อมกันทั้งสองแบบ แซ่บนัวอย่าบอกใคร
จานนี้สนนราคา 300 บาทไม่แพงเลยถ้าเทียบกับขนาดตัวที่ใหญ่มากหนักราวๆ 1.2-1.5 kg.
มาต่อจานที่สองกัน เป็นจานที่มาทีไรผมก็สั่งแทบทุกครั้ง
กับ หอยนางรมทรงเครื่อง ราคาแค่ 160 บาทแต่หอยมหาศาล
เรียกว่าราคาต่อตัวไม่ถึง 10 บาทเลย
สำหรับจานนี้ จุดเด่นคือความสดของหอยนางรม
ที่คุณบอยบอกว่าเลือกเองกับมือ ถ้าวันไหนไปดูแล้วหอยไม่ดี หอยไม่สด
คุณบอยบอกว่ายอมที่จะงดขายในวันนั้น ดีกว่าเอาหอยไม่ดีมาให้ลูกค้าทาน
ส่วนผักเคียงก็แล้วแต่ว่ามีอะไรครับ อาจจะเป็นกระเฉด กระถิน
แต่ไม่ว่าอะไร เอามาโรยหอมเจียว และราดน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือจิ้มซอสพริกก็อร่อยเด็ดทั้งนั้น
จานที่สามตามมาด้วยแกงคั่วหอยขม
นอกจาก 2 จานแรกที่เป็นซิกเนเจอร์แล้ว
วันที่ไปพวกผมไปกัน 8 คนก็เลยให้เลือกสั่งกันคนละอย่าง
ตัวผมเองก็เลยสั่งเมนูนี้นี่ล่ะครับ แกงคั่วหอยขม
เป็นเมนูที่ผมชอบ และในสมัยนี้หาทานค่อนข้างยาก
ดังนั้นมาที่นี่ทีไรก็มักจะสั่งเมนูนี้ทานตลอด
หอยขมที่นี่จะแกะเปลือกออกหมดดังนั้นทานแล้วเคี้ยวได้อย่างสบายใจ
เนื้อหอยหนุบหนับๆ เข้ากับเครื่องแกงที่ไม่เผ็ดจนเกินไปมีความหวานนิดๆ ตัดกับชะอม
พูดเลยว่าแซ่บ จานนี้ราคา 150 บาท
จานต่อมาคุณภรรยาผมสั่งเป็น แกงเลียงกุ้งสด 150 บาท (สงสัยจะซ้อมกินไว้ช่วงให้นมลูก 555)
ปกติแล้วแกงเลียงเป็นแกงที่ผมไม่ชอบทานเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะกลิ่น
แต่มาครั้งนี้ในเมื่อสั่งมาแล้ว……
ผมก็ไม่ทานอยู่ดี 555 ก็ไม่ชอบนี่นา
แต่ถามจากคุณภริ ได้ความว่าน้ำแกงหวานหอมกำลังดี
ทานแล้วรู้สึกสดชื่น
จานต่อมาเป็น ปลาช่อนฟูพริกขิงไข่เค็ม (140 บาท)
เมนูนี้สมัยมาทานแรกๆผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่าที่ร้านมีขาย
จนซัก 3-4 ครั้งหลังที่มากินคุณบอยแนะนำว่าลองสั่งทานดูซิ ก็เลยลอง
ปรากฎว่าเห้ยยยย ชอบอ่ะ เพราะปกติผมเองเป็นคนชอบกินปลาดุกฟูพริกขิงอยู่แล้ว
พอมาทานปลาช่อนฟูจะรู้สึกว่า มันจะนุ่มกว่า และหอมกว่านิดๆ
ทานคู่กับข้าวสวยอย่างฟิน
จัดหนักมาหลายเมนูจานนี้เป็นผักบ้างกับเมนู น้ำพริกลงเรือ (120 บาท)
ผักสดๆ ทั้งผักกาดขาว แตงกวา ถั่วพลู และอื่นๆอีกมากมายกินเคียงกับน้ำพริก
และปลาช่อนฟูที่ทอดได้ไม่อมน้ำมัน โรยด้วยกุ้งแห้ง และไข่เค็ม อร่อยอย่าบอกใคร
มีคนบอกว่าคนโบราณชอบทานน้ำพริกลงเรือ
วันนี้ผมก็ยอมเป็นคนโบราณล่ะ
มาต่อกันด้วย ทอดมันกุ้ง (140 บาท) ซึ่งเป็นเมนูที่ผมไม่เคยสั่งทานที่ร้านนี้มาก่อน
เพราะเป็นเมนูที่ดูธรรมดา แต่มาครั้งนี้สั่งมาชิม
เพราะคุณภริผมไม่สามารถทาน หมู ไก่ เนื้อ ได้เนื่องจากแพ้ท้อง
จานนี้ไม่หวือหวาอะไรมากมาย ทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วย
ได้ฟิลด์เหมือนกลับไปในวัยเด็กที่ พ่อแม่พาไปกินร้านอาหารแล้วต้องสั่งเมนูนี้มาทานเสมอ
เมนูถัดมาเมนูที่ 8 (กินจริงจังมาก 555)
เป็นอีกเมนูที่ผมชอบ ยำถั่วพลูกุ้งสด (100 บาท)
ที่ว่าชอบคือที่แม่ลาคิทเช่นยำแบบกะทิ เพราะบางร้านจะยำแบบเหมือนใส่น้ำพริกเผาไปด้วย
ซึ่งจะเป็นแบบที่ผมไม่ชอบ แต่สำหรับที่นี่ยำแบบนี้โอเคสำหรับผมเลย
กุ้งก็ตัวใหญ่ สด เด้งดึ๋งโดยส่วนที่ถูกจริตกับผมอีกอย่างคือหอมเจียวนี่ล่ะ
เมนูรองสุดท้าย ปูนิ่มผัดพริกไทยดำ (180 บาท)
จานนี้ด้วยราคากับจำนวนปูนิ่มที่ให้มาขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มล่ะ
รสชาติของเครื่องที่ผัดมาถือว่าเข้มข้นดี แต่ตอนทานจะต้องตักน้ำราดนิดนึง
เพราะว่าปูนิ่มเมื่อเอาไปทอดก่อน เอามาผัดมันทำให้รสชาติของเครื่องยังไม่เข้าไปที่ตัวปูดี
แต่จะให้ผัดนานก็คงไม่ได้เพราะจะทำให้ปูนิ่มหายกรอบ รวมๆแล้วถือว่าใช้ได้เลย
ปล. เป็นเมนูเอาใจคุณภริผมเช่นกัน
(ที่บอกว่าให้สั่งคนละเมนู สุดท้ายหลายๆเมนูก็ต้องเอาใจคุณภริผม เพราะนางท้องอยู่ 555)
เมนูสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด
ตอนแรกเริ่มนึกไม่ออกล่ะว่าจะสั่งอะไร ที่คุณภริผมจะไม่แพ้
เพราะหลายอย่างที่อยากทานก็เป็นตระกูล หมู ไก่ เนื้อ
คุณบอยเจ้าของร้านเลยแนะนำว่าลองเมนูนี้ซิ ปลาช่อนชนไก่ (350 บาท)
งงมั๊ยครับคุณภริผมทานไก่ไม่ได้ แต่ปลาช่อนชนไก่ชื่อเมนูแบบนี้มันต้องมีไก่ซิ
แต่ไม่ใช่ครับคำว่าไก่มันมาจาก “ไก่สามอย่าง” ซึ่งในวงการกับแกล้มจะรู้ดีว่ามันคือ
กุ้งแห้ง ถั่วลิสง ตะไคร้ ขิง มะนาว ซึ่งถ้าเอาใบชะพลูมาห่อก็เป็นเมี่ยงคำนั่นล่ะ
แล้วไก่มันมาจากไหนล่ะ… เขาบอกว่าในสมัยก่อนในยุคสงคราม
ไก่หายากมากในวงเหล้ามีการเอา กุ้งแห้ง ถั่วลิสง ตะไคร้ ขิง มะนาว มาทาน
ก็มีคนหนึ่งหลอกเพื่อนอีกคนที่เมาแล้วว่าในจานนี้มีไก่ตั้งสามอย่างลองหาซิ
จึงเป็นที่มาของคำว่าไก่สามอย่างที่มาจาก 3 ไก่ดังนี้
ไก่ (ที่แปลว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นคนทำ)
ไก่อ่อน (คนที่ดื่มเหล้าแป๊บเดียวก็เมา)
ปล่อยไก่ (คนที่ถามว่าไก่อยู่ไหน)
ดังนั้นปลาช่อนชนไก่ จึงเป็นเมนูที่เป็นปลาช่อนแดดเดียวทอด (ทอดแบบปลาสำลีแดดเดียว)
โรยด้วย กุ้งแห้ง ถั่วลิสง ตะไคร้ ขิง มะนาว กับน้ำยำนั่นเอง
หลังจากอิ่ม(มาก) จากของคาวผมและเพื่อนๆเลยไปนั่งเล่นต่อเพื่อคุยแผนงานปี 2016 กันต่อ
ที่ Mae-La Cafe ซึ่งเป็นร้านกาแฟเล็กๆที่อยู่ติดกับ แม่ลาคิทเช่น นั่นล่ะ
ช่วงแรกยังไม่ค่อยได้สั่งอะไรมาทานเท่าไหร่ เน้นคุยงานกันเสียมากกว่า
แต่ก็มีสั่ง ปังเย็นแดง (80 บาท) มาจ้วงแบ่งกัน
หลังจากคุยกันซัก 2-3 ชม.ก็เริ่มเย็นและท้องเริ่มมีพื้นที่อีกรอบ
เลยสั่งเค้กมาแบ่งกันกินต่อ ในตู้มีเค้กหลากชนิดเรียงกันสวยงาม
เลยแอบขอเอาออกมาถ่ายรูปและจิ้มเลยว่าใครอยากกินอะไรกันบ้าง
เริ่มจากตระกูลช๊อกโกแลต
ทริปเปิ้ลช็อกโกแลตมูสเค้ก (95 บาท)
บราวนี่ชีสเค้ก (95 บาท)
ช็อกโกแลตหน้านิ่ม (85 บาท)
ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนชอบทานบราวนี่ ดังนั้นในสามชิ้นนี้ผมเลยชอบบราวนี่ที่สุด
ซึ่งจุดเด่นของเค้กชิ้นนี้คือ เนื้อและหน้า แน่นมากๆ คือกินเสร็จนี่มีจุกได้เลย 555
ต่อมาเป็นเครปเค้กสตอเบอรี่ (100 บาท) และ เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อน (95 บาท)
สำหรับตัวเครปเค้กในส่วนของครีมหอมหวานดีครับ แต่ตัวชั้นเครปน่าจะบางกว่านี้อีกนิด
ส่วนเค้กใบเตยนี่เริ่ดมาก หอมมันกำลังดี สำหรับการแย่งกันกินเรียกว่าแป๊บเดียวหมด
หลังจากคุยเสร็จเตรียมตัวแยกย้ายเป็นช่วงเย็นพระอาทิตย์ตกพอดี
(มาตั้งแต่ บ่ายสอง นั่งยาวเกือบหนึ่งทุ่ม 555)
เลยเก็บภาพบรรยากาศร้านมาฝากกัน
ช่วงเย็นนี่พอแสงหมดแล้วลูกค้าส่วนมากนั่งที่สวนกันทั้งนั้น
แต่ก็ถือว่าทางร้านจัดบริเวณสวนดูโปร่งได้น่านั่งดีจริงๆ
ทั้งหมดที่กินไปวันนี้ 3,020 บาทไปแพงตรงของหวานนี่ล่ะ
แต่ถ้าเอาเฉพาะค่าอาหารและเครื่องดื่มแล้วเหลือแค่ 2,290 บาท หรือคนละ 280 บาทเท่านั้น
กับปริมาณอาหารแบบนี้แล้วผมว่าเกินคุ้มนะ
สรุปสำหรับ แม่ลาคิทเช่น
ที่นี่ถือเป็นร้านโปรดของผมร้านหนึ่งที่มักนัดเพื่อนกลุ่มต่างๆมาสังสรรค์กันที่นี่
โดยเฉพาะหลังจากการย้ายที่และเปลี่ยนจากแม่ลาปลาเผามาเป็น แม่ลาคิทเช่น แล้ว
บรรยากาศของร้านดีขึ้นเยอะ จุดเด่นของร้านคือ ใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ คุณภาพดี
เรื่องรสชาตินั้นร้านจะทำอาหารรสกลางๆค่อนไปทางจัด (นิดเดียว)
เป็นร้านอาหารที่เหมาะกับทั้งการพาครอบครัวมานั่งทาน และการนัดสังสรรค์กับเพื่อน
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเวลาผมไปเดินเล่นที่ Impact เมืองทองก็มักจะแวะมาทานข้าวที่ร้านนี้เป็นประจำ
หากเพื่อนๆมีโอกาสก็แนะนำให้ลองมาชิมกัน
สำหรับวันนี้ผมก็ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณและสวัสดีครับ