Jan-2016
พิชิต 4 ดอยเชียงรายกับเส้นทางสายชา และกาแฟ
พิชิต 4 ดอยเชียงรายกับเส้นทางสายชา และกาแฟ
ดอยช้าง ดอยวาวี ดอยเลาลี ดอยกาดผี
บ่อยครั้งที่การออกเดินทางท่องเที่ยวไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่า
การได้พักกาย พักสมอง การได้นั่งนิ่งๆในสถานที่ที่สงบ ไม่มีอะไรกวนใจ
การได้นั่งจิบชา ชิมกาแฟ ชมวิวงามๆ เพียงเท่านั้นก็จะทำให้เรารีเฟรชตัวเอง
พร้อมที่จะต่อสู้กับการเดินทางใหม่ๆที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ที่ดอยช้าง ดอยวาวี ที่เชียงราย ที่นี่คือคำตอบของการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ปกติแล้วในแต่ละปีผมจะมีทริปที่เดินทางท่องเที่ยวแบบพักผ่อนอย่างน้อยปีละครั้ง
ปี 2014 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปพักผ่อนที่แม่ฮ่องสอน ส่วนปี 2015 ที่พึ่งผ่านพ้นไป
ด้วยภารกิจตั้งแต่ต้นปียาวจนวันคริสต์มาส ทำให้การท่องเที่ยวเพื่อพักกายพักใจของผม
เลื่อนมาเป็นช่วงต้นปี 2016 ซึ่งในครั้งนี้ผมได้เลือกที่จะไปที่ เชียงราย
ไปอยู่ในสถานที่ที่สงบ และได้อยู่กับตัวเองได้นั่นคือ ดอยช้าง ดอยวาวี นั่นเอง
ด้วยความที่ตั้งใจจะไปพัก การเที่ยวครั้งนี้ผมจึงใช้เจ้าจิ๋ว Sony A7S-ii
ที่พึ่งถอยมาใหม่ไปถ่ายรูปแทน รูปทั้งหมดในทริปนี้ก็ถ่ายจากเจ้าจิ๋วตัวนี้นี่ล่ะครับ
เลนส์ที่ผมใข้คือ ZE 16-35 ส่วนที่เหลือ 24-70 กับ 70-200 เป็นเลนส์ Canon
ซึ่งเชื่อมกันด้วย Adapter Metabones
เอาล่ะครับออกไป พักกาย พักใจ พักผ่อนพร้อมๆกันเลย
บินหรูสู่เชียงรายด้วยสายการบิน Bangkok Airways
แน่นอนว่าทริปที่จะไปพักผ่อนแบบนี้ ผมก็ขอเลือกสบายตั้งแต่ออกจากรุงเทพฯเลยก็แล้วกัน
ผมเลือกที่จะใช้บริการสายการบิน Bangkok Airways
และไหนๆจะสบายแล้วก็เอาให้สุดๆกับ Blue Ribbon Class โลด ไปเช็คอินกัน
ตั๋วจะมีการประทับตรา BRC ซึ่งสามารถไปใช้งาน Lounge ฝั่ง Business ได้จร้าาา
Business Lounge จะอยู่เลยจาก Lounge ทั่วไปนิดนึง
ซึ่งพื้นที่โดยรวมจะกว้างกว่า (อาจจะเพราะคนใช้น้อยกว่า) และมีบริการอาหารร้อนด้วยจร้า
ถึงมีอาหารร้อนให้ผมก็ไม่พลาดกับการกิน ข้าวต้มมัด อันลือชื่อด้วย
แต่ส่วนตัวผมกลับชอบขนมเทียนมากกว่านะ 555
อิ่มรอบแรกแล้วแล้วไปขึ้นเครื่องกันเลยจร้า…
แต่ว่าบินกับ Bangkok Airways มันยังไม่จบเท่านี้แน่นอน
เพราะบนเครื่องยังมีบริการอาหารร้อนต่อเนื่อง เรียกว่าอิ่มจนจุกกันไปข้างเลย อิอิ
ระหว่างทานข้าว กัปตันก็มาทักทายและบอกว่าขณะนั้นอุณหภูมิที่เชียงรายคือ 10 องศา
โอวววววคือสวรรค์มว๊ากกกก เพราะช่วงนั้น กทม. ร้อนมาก
บินราวๆ 1 ชม.นิดๆก็มาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง
ที่นี่ผมชอบอย่างหนึ่งคือที่สนามบินเขามีการเอารถเข็นมาวางรอบสายพานรับกระเป๋า
ทำให้ผมนึกไปถึงที่สนามบินในญี่ปุ่น ที่เขาจะมีการวางกระเป๋าบนสายพานอย่างเป็นระเบียบ
โดยการหันหูหิ้วออกมาเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้เราสามารถดึงกระเป๋าได้ง่ายและรวดเร็ว
ซึ่งสิ่งที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงทำ โดยการเอารถเข็นมาวางไว้แบบนี้
ผมชอบนะ มันดูเป็นการใส่ใจดีครับ
รับรถพร้อมตะลุย 4 ดอยเชียงรายกับ AVIS Thailand
การเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการรถเช่าจาก AVIS Thailand
ซึ่งหลังจากรับกระเป๋าออกมาปุ๊บก็เจอเค้าท์เตอร์รออยู่ตรงหน้าเลย
ข้อดีของ Avis Thailand อย่างหนึ่งคือเราสามารถคืนรถเลทจากที่แจ้งไว้ได้มากถึง 4 ชม.
โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งผมว่ามัน Flexible ดี
รอบนี้ผมได้ Honda City มาขับ ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับการขับขึ้นดอยทั่วไป
แวะเชียงใหม่ไปล่าพญาเสือโคร่งพัก The Core Chiang mai
จริงๆแล้วทริปนี้แรกทีเดียวผมว่าจะอยู่แค่เชียงรายอย่างเดียว
เพราะกะว่ามาพักผ่อนขี้เกียจขับรถมาก แต่ช่วงที่ไป มีเพื่อนที่เดินทางไปทางเหนือเหมือนกันพอดี
เค้าเลยชวนผมแวะไปที่เชียงใหม่เพื่อไปล่าพญาเสือโคร่ง
ไอ้ผมที่ไม่ได้แพลนโปรแกรมอะไรไว้อยู่แล้ว เลยตกปากรับคำไปเรียบร้อย
ซึ่งก็ค่อนข้างโอเคเพราะ ดอยช้าง ดอยวาวี ซึ่งเป็นจุดหมายหลักในการไปเที่ยวครั้งนี้
ก็อยู่ระหว่างเส้น 118 เชียงใหม่ เชียงรายนั่นล่ะครับ
ช่วงที่อยู่ที่เชียงใหม่ผมเลือกที่จะไปพักที่ The Core Chiangmai
ซึ่งเป็นโรงแรมที่พึ่งเปิดเมื่อช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาพอดี ผมเลยถือโอกาสไปเปิดซิงเสียเลย
อีกสาเหตุหนึ่งที่ผมเลือกที่นี่ ก็เพราะการตกแต่งที่สวยงามและดูธรรมชาติครับ
ผมได้รีวิวโรงแรมนี้ไว้แล้วสามารถไปชมได้ที่นี่
The Core Chiangmai
หรือถ้าใครสนใจจะดูราคาและจองที่พักก็สามารถเช็คได้จากที่นี่เลย
เช็คราคาและจองที่พักผ่าน expedia.co.th
เช็คราคาและจองที่พักผ่าน agoda.com
Voucher Code ลด 10% ของ expedia.co.th
KBANKEXPHOTEL4
ชมพระอาทิตย์ขึ้นและเหมยขาบที่ดอยอินทนนท์
ช่วงที่อยู่ที่เชียงใหม่ แทบจะไม่ได้เที่ยวเลย ที่บอกจะไปล่าพญาเสือโคร่งก็ขี้เกียจ
เพราะตั้งใจจะไปพักมากกว่า เลยแวะไปเยี่ยมเพื่อนที่อยู่ที่เขียงใหม่แทน
แต่ก็มีโอกาสแว้บออกไปเที่ยว 1 วันคือ ตื่นเช้าเพื่อขึ้นดอยอินทนนท์
ไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นวันนั้นก็สวยงามมากจริงๆ คุ้มล่ะกับการตื่นแต่เช้าไป 55
ซึ่งจากที่ได้ลองใช้ Sony A7S-ii ก็พบว่าตัวกล้องมันขุดแสงได้ดีมากๆ
ภาพนี้ผมวัดแสงที่พระอาทิตย์ แล้วถ่ายมาชอตเดียวเลยไม่ได้ทำ HDR แต่อย่างใด
หลังจากถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จผมก็แว้บไปยอดดอยอินทนนท์
ระหว่างทางก็แวะถ่ายเหมยขาบไปด้วย แม่ค้าบอกว่าวันนั้นอุณหภูมิ -2 จร้า
มิน่าโคตรหนาวเลย 5555
จากนั้นก็แวะไปที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์
เพื่อไปล่าพญาเสือโคร่ง แต่น่าเสียดายที่ พญาเสือโคร่งที่นี่เลยจุดพีคไปแล้ว
ทำให้ใบอ่อนเริ่มแทงออกมากันแล้ว
จากนั้นผมก็ลงไปนั่งเล่นนอนเล่นในเมือง
เน้นไปพูดคุยกะเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันมานานเสียมากกว่า
บางคนเป็นเพื่อนที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากญี่ปุ่นก็ได้มาเจอกันที่นี่
ตอนแรกกะว่าจะแวะไปดูพญาเสือโคร่งที่ ขุนช่างเคี่ยน อีกสักที่แต่หลังจากเช็คข้อมูลมา
ก็พบว่ามันยังไม่บาน สรุปเลยไม่ไปอยู่ชิวๆที่ตัวเมืองเชียงใหม่ดีกว่า
มุ่งหน้าสู่ดอยวาวีพักที่ เลาลีฮิลรีสอร์ท
หลังจากชิวอยู่เชียงใหม่ได้ 2 คืนผมก็ขับรถกลับไปที่เป้าหมายหลักของผม
นั่นคือ ดอยช้าง ดอยวาวี นั่นเอง ตอนแรกผม โนไอเดีย มากๆว่าจะไปพักที่ไหน
กะว่าขับรถไปก่อนมีที่ไหนว่างให้พักก็พัก แต่เพื่อนที่รู้จักแนะนำว่า
ให้ขับเลยดอยวาวีไปหน่อย จะมี เลาลีฮิลรีสอร์ท บรรยากาศดีมากๆ
ได้ข้อมูลมาแล้วก็ว่าตามนั้นละกัน โทรไปถามพอเป็นพิธีว่ามีห้องว่างใช่มั๊ย
แล้วก็ขับรถบึ่งไปเลย ช่วงขับรถไปนี่ขนาดเป็นช่วงบ่าย ผมสามารถขับรถเปิดหน้าต่างได้เลย
อากาศเย็นสบายมากๆ นึกแล้วก็อยากได้รถเปิดประทุนมาขับแทนเลยทีเดียว 555
การไปที่ดอยวาวีผมใช้เส้นทางแยกจากถนนหลวงสาย 118
ที่เชื่อมเชียงราย เชียงใหม่บริเวณ อำเภอแม่สรวย ขับไปแค่ 2-3 กิโลเมตร
ก็จะเจอจุดชมวิวเขื่อนแม่สรวย ตรงนี้สวยงามมว๊ากกก
ผมผ่านไปช่วงบ่ายๆแสงกำลังสวยเลย ถ้าอยู่ช่วงพระอาทิตย์ตกคงฟิน
แต่ผมยังต้องขับเข้าไปที่ดอยวาวีอีก 50 กม. เลยไปก่อนดีกว่า
จุดหมายเย็นนี้ของผมคือเลาลี รีสอร์ทซึ่งหลังจากได้คุยๆกับชาวบ้านก็ทราบว่า
จริงๆตรงนั้นจะเป็นอีกดอยหนึ่งชื่อดอยเลาลี แต่จะดอยเลาลี หรือดอยวาวี ก็ไม่ได้ต่างกัน
เพราะชาวบ้านแถวนั้นก็ไปมาหาสู่กันได้โดยง่าย
ผมไปถึงก็เป็นช่วงเย็นๆพอดี เลยแว้บเข้าไปดูห้องพักหน่อยว่าเหลือแบบไหนให้ผมนอนได้มั่ง
เพราะอย่างที่บอกว่ามารอบนี้มาแบบโนแพลน ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้ามาเลย
ที่เลาลีฮิลรีสอร์ท ด้านหน้าจะเป็นโรงเตี๊ยมเลาลี ซึ่งเป็นทั้งล็อบบี้และห้องอาหารไปในตัว
ห้องพักที่นี่หลักๆจะมี 3 แบบ เป็นบังกะโลไม้แบบ A Frame เป็นบ้านแฝด และมีอาคารตึกรวม
ซึ่งตอนแรกผมอยากจะนอนแบบบ้านไม้ A-Frame ซึ่งถูกที่สุด แต่ผมก็ว่ามันสวยที่สุดนะ
แต่ห้องไม้เต็มผมเลยต้องไปนอนแบบบ้านแฝดแทน
วันนั้นผมไปคนเดียวป้าแกเลยลดค่าห้องให้ จาก 1,200 เหลือ 1,000
เย็นนั้นหลังจากเก็บของเสร็จผมก็เดินกลับมาที่โรงเตี๊ยมเลาลีหาข้าวทาน
ซึ่งผมได้ถามไว้แล้วตั้งแต่ก่อนไปที่ห้องพักว่าที่นี่ปิดกี่โมง ก็ได้ความว่าปิด 2 ทุ่ม
ก่อนสั่งอาหารก็ได้มีโอกาสคุยเรื่องที่ท่องเที่ยวก่อนว่ามาที่นี่ควรจะแวะไปไหนดี
ได้ความว่าปกติแล้วส่วนมากจะขึ้นไปที่ดอยกาดผี ชมพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกแบบ 360 องศากัน
แต่รถเก๋งขึ้นไม่ได้ต้องเป็นกะบะ ซึ่งปกติแล้วจะเหมาไปกลับที่ราคาคันละ 700 บาท
ซึ่งก็โชคดีที่ว่าวันที่ผมไปมีอีกสองครอบครัวรวม 6 คนก็จะขึ้นไปเหมือนกัน
ผมเลยขอไปแทรกตัวอวบๆอีกคนหนึ่งด้วย สรุปไปกัน 7 คนเหลือคนละ 100 บาทเท่านั้น
โดยนัดกันที่หน้าโรงเตี๊ยมตอนประมาณ ตีห้าครึ่ง
หลังจากได้ที่เที่ยวล่ะผมก็เลยกินข้าวเย็น ซึ่งการเที่ยวคนเดียวแบบนี้ข้อเสียหลักๆเลย
คือการกินข้าว มันสั่งอาหารได้ไม่เยอะ T__T ทั้งๆที่มีเมนูที่อยากลองหลายอย่างมากเลย
แต่คำว่าสั่งได้ไม่เยอะผมก็สั่งมาซะ 3 อย่าง ก็นะอยากชิมนี่นา 5555
มี ยำยอดชา (95 บาท) เห็ดหอมทอด (150 บาท) และหมูน้ำค้าง (150 บาท)
ยำยอดชา แลดูจะคุ้มสุด แต่ดูแล้วเหมือนจะยำปลากระป๋องมากกว่า
โดยมีการเอายอดชามาเอาเป็นผักยำด้วย จานนี้อร่อยผ่าน
ส่วน เห็ดหอมทอด แอบรู้สึกว่าแพงไปหน่อย ทั้งๆที่อยู่บนดอยมันน่าจะถูกไม่ใช่หรือ
แต่เค้าทอดได้อร่อยดีนะ เค็มๆจิ้มกับซอสพริกนี่เด็ดเลย
และอย่างสุดท้ายคือ หมูน้ำค้าง เป็นหมูสามชั้นตากน้ำค้างแล้วเอามาทอด
จานนี้รสชาติก็อร่อยดีนะ เค็มนิดๆ ทอดได้กรอบมมาก
หลังจากอิ่มแล้วผมก็ไปนั่งเล่นหน้าห้อง ตากลมเย็นๆ (จริงๆหนาว) ดูดาวไปเรื่อย
เพราะที่นั่น ไม่มีสัญญาณมือถือของ DTAC จร้า.. เลยได้อยู่กับตัวเองสมใจ
เพราะไม่สามารถ โทรศัพท์เล่นเนต ติดต่อใครได้เลย 555
แต่ก็ทำให้เป็นวันที่ผมเข้านอนเร็วนะ เพราะปกติแล้วถ้ามีมือถือ มีเนต มีคอม
จะต้องเล่นเนตไปเรื่อยๆ จนบางทีก็รู้สึกว่าเห้ย เราอยู่บนโลกออนไลน์มากไปเปล่าเนี่ย
พิชิตยอดดอยกาดผี กับทะเลหมอกที่ไม่มาตามนัด
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังตื่นนอน งัวเงียๆ เพราะมีคนมาเคาะประตูห้องปลุก (ก่อนนาฬิกาผมจะปลุกซัก 5 นาที)
เลยรีบล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน แต่ไม่อาบน้ำ 5555
แล้วก็ไปที่หน้าโรงเตี๊ยมเพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยกาดผีกัน
จากเลาลีฮิลรีสอร์ทใช้เวลาราว 15 นาทีเราก็ไปถึงยอดดอย
ไปด้วยรถเหลืองคันนี้ ซึ่งเป็นรถที่ปกติวิ่งรับส่งระหว่างแม่สรวยกับดอยวาวีนั่นล่ะ
แต่แอบเสียดายที่วันที่ผมไป ถึงอากาศจะหนาวแต่เป็นหนาวแบบหนาวแห้งๆ
เลยไม่ค่อยมีความชื้นที่จะทำให้เกิดหมอก และก็แอบมีเมฆที่ปลายขอบฟ้า
ทำให้กว่าพระอาทิตย์จะมาอวดโฉมก็ขึ้นมาสูงประมาณนึงแล้ว
แต่ถึงจะไม่ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นกับทะเลหมอกตามที่อยากได้ในวันนั้น
แต่กลับไม่ได้ทำให้ความสุขของผมลดลงไปเลย อาจจะเพราะทริปนี้ผมตั้งใจที่จะมาพักผ่อน ผ่อนคลาย
ไม่ได้ตั้งใจจะมาถ่ายรูปเหมือนทุกครั้งที่ออกไปทำงาน
ทำให้เพียงแค่การนั่งมอง พระอาทิตย์ค่อยๆพ้นทิวเขา และปุยเมฆออกมา
การเห็นเพื่อนร่วมทาง กรี๊ดกร๊าด วิ่งถ่ายรูปกัน
เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมสามารถอมยิ้มได้อย่างมีความสุขแล้ว
ที่บนยอดดอยกาดผี ผมเห็นต้นพญาเสือโคร่งอยู่หลายต้น
แต่ว่าส่วนมากจะเป็นต้นที่แทงใบอ่อนออกมากันหมดแล้ว ซึ่งถ้าเป็นซัก 1-2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้
บนนี้คงเป็นอีกจุดที่สีสันดอกพญาเสือโคร่งสวยน่าดูชมเลย
อิ่มอุ่นชายามเช้า ณ ดอยเลาลี
หลังจากนั้นผมก็ลงจากดอยกาดผีกลับมาที่เลาลีฮิลรีสอร์ท ตอนแรกว่าจะทานข้าวเลย
ผมเดินเข้าไปสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่เหลือบไปเห็นพระอาทิตย์ที่พึ่งพ้นยอดเขาได้ไม่นาน
ส่องแสงระยิบระยับ ลงมาที่ไร่ชาบนดอยเลาลี ที่สามารถมองเห็นได้จากโรงเตี๊ยม
ผมเลยไปเดินเล่นถ่ายรูปก่อนเลย อากาศเย็นๆยามเช้าที่มาปะทะใบหน้า
กับหมอกจางๆที่เกิดจากการคายน้ำของต้นชา ช่างทำให้ผมรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
ถือเป็นอีกโมเม้นท์ฟินๆของทริปนี้เลยครับ
หลังจากฟินกับการเดินเล่นที่ไร่ชาแล้ว ผมก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมเลาลีอีกรอบ
น้องพนักงานเดินมาถามว่าจะนั่งกินข้าวที่ไหน ผมแทบจะไม่ต้องคิดเลย ว่านั่งด้านนอก
เพื่อชมวิวที่สวยงามที่ผมพึ่งถ่ายรูปไปเมื่อตะกี้ พร้อมกับจิบชาจากไร่ชาของรีสอร์ทที่ชงมาอย่างวิจิตร
มันช่างเป็นเช้าที่เฟอร์เฟคสำหรับผมจริงๆ
จริงๆแล้วที่เลาลีฮิลรีสอร์ทจะมีชุดอาหารเช้าให้ทานอยู่แล้วคือ
ข้าวต้มหมูสับ + ไข่เจียว ซึ่งผมไม่ทันถามไว้ให้ดีตอนเช็คอิน ปรากฏว่าผมไปสั่ง
ยำเห็ดหอมสด (150 บาท) และ ไข่ยัดใส้ (95 บาท) เพิ่ม
กะว่าเช้าๆจะกินกับข้าว 2 อย่างกับข้าวต้ม แต่กลายเป็นกับข้าวมหาศาลราชนิกูลอีกแล้ว 555
ดอยวาวี ศูนย์รวมความหลากหลายของวัฒนธรรม
ผมนั่งเล่นตากแดดชมวิวอยู่พักใหญ่ ถึงจะค่อยๆไปเก็บของ เพื่อเตรียมกลับเข้าเมืองเชียงราย
เพราะวันรุ่งขึ้นผมก็จะต้องกลับ กทม. เพื่อไปเตรียมทริป เตรียมงานที่แพลนไว้ในปีใหม่นี้ตามปกติแล้ว
แต่ก่อนจะเข้าเมืองผมได้มีโอกาสไปเดินเล่นในหมู่บ้านที่ดอยวาวีก่อน
ผมไปจอดรถไว้ที่บริเวณหน้าหมู่บ้าน ซึ่งมีตลาดและเป็นจุดจอดรถเหลืองที่มาจากแม่สรวยด้วย
บริเวณหน้าหมู่บ้านก็เหมือนเป็นศูนย์กลางชุมชน นอกจากจะมีตลาดแล้ว
ก็ร้านค้ามากมายเต็มไปหมด อาจจะไม่ได้เป็นร้านใหญ่โต สวยงาม หรูหรา
แต่ก็มีข้าวของเครื่องใช้ให้บริการอย่างครบครัน
และมีบางร้านที่เปิดรอนักท่องเที่ยวอย่างผมให้เข้าไปจับจ่ายใช้สอยด้วย
ซึ่งแน่นอนผมก็ไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเช่นกัน
หลังจากเดินเล่นที่บริเวณตลาดแล้วผมก็เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ
โดยมีจุดม่งหมายอยู่ที่ตึกที่อยู่ด้านบนเนินเขา ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร
แต่คิดว่ามันอยู่บนเนิน วิวคงดีกระมัง
บริเวณช่วงกลางหมู่บ้าน
ส่วนมากจะเป็นอาคารของส่วนราชการต่างๆ ทั้งโรงพยาบาล อำเภอ ไปรษณีย์
หลังจากเดินพอเหนื่อยผมก็มาถึงจุดหมายที่เล็งไว้ ปรากฏว่าตรงนั้นคือโรงเรียนกวงฟูวิทยาคม
ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดของกระทรวงศึกษาที่สอนด้วยภาษาจีนทั้งหมด
บริเวณโรงเรียนจะมีศาลาให้นั่งเล่นสามารถมองเห็นวิวหมู่บ้านวาวีได้โดยทั่วเลย
หลังจากนั่งเล่นที่ศาลาอยู่พักหนึ่งผมก็เดินลงมาเพื่อเตรียมจะเดินทางต่อ
ผมเจอกับคริสตจักรบ้านวาวี ถึงจะไม่ได้เป็นสถานที่ใหญ่โตอะไร แต่มันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี
ว่าที่หมู่บ้านวาวีนั้น เป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรมที่หลากหลายมาก
ทั้งชาวจีนยูนนาน ชาวไทยพุทธ และรวมไปถึงชาวคริสต์ และชาวอิสลามด้วย
ซึ่งก็ล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในหมู่บ้านแห่งนี้
ช่วงผมขับรถออกจากหมู่บ้านก็เจอป้ายบอกทางขึ้นเขาไปยังพระธาตุวาวี
ผมเลยไม่ลังเลที่จะหักพวงมาลัยขึ้นไปยังพระธาตุ ซึ่งเท่าที่ดูเหมือนว่าที่นี่จะยังสร้างไม่เสร็จดี
แต่จากที่นี่ก็ถือว่าวิวดีไม่น้อย เพราะสามารถมองเห็นหมู่บ้านวาวีที่อยู่ด้านล่างได้อย่างถนัดตา
จากแดนฝิ่นสู่ถิ่นกาแฟ ชิมกาแฟที่ดีที่สุดในประเทศ ณ ดอยช้าง
ช่วงบ่ายผมขับรถไปที่ดอยช้าง ซึ่งจากดอยวาวีจะมีทางที่เชื่อมกันอยู่
โดยไม่ต้องย้อนลงมาที่ปากทางเส้น 118 แต่อย่างใด พอไปถึงที่ดอยช้าง
ผมแว้บไปที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูง เชียงรายก่อนเลย
ที่ดอยช้างสมัยก่อนนั้นถือเป็นพื้นที่หนึ่ง ที่เต็มไปด้วยยาเสพติด
ชาวเขาที่อยู่ที่นี่ (ชาวอาข่าและชาวลีซู) นิยมปลูกฝิ่น และทำไร่เลื่อนลอย
ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ถือว่าเป็นพื้นที่สีแดง
ชาวเขาที่นี่ก็อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะปลูกฝิ่นซึ่งผิดกฎหมาย
กระทั่งในหลวงได้พระราชทานต้นกล้ากาแฟพันธุ์อาราบิก้ามาให้ชาวเขาที่นี่
ในช่วงแรกก็มีเพียงบางครอบครัวเท่านั้นที่นำไปปลูก บางส่วนยังคงนิยมปลูกฝิ่นอยู่
ปัญหาในช่วงแรกก็คือหลังจากปลูกกาแฟแล้ว ชาวบ้านกลับไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปขายได้
รวมถึงพอเริ่มมีความรู้ก็ไม่สามารถหาตลาดที่จะเอาผลผลิตไปขายได้
มีหลายครั้งที่ชาวบ้านตัดต้นกาแฟทิ้ง แต่สุดท้ายต้นกาแฟก็ยังงอกมาใหม่เรื่อยๆ
ซึ่ง ณ ดอยช้างแห่งนี้ต้นกาแฟต้นแรกก็ยังคงอยู่ด้วย
(แต่ผมไม่ขอบอกนะว่าอยู่ที่ไหน แอบให้เป็นโจทย์ เผื่อว่าเพื่อนๆอยากไปหาดูครับ)
กระทั่งมีการตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูง เชียงราย
ซึ่งไปทดลองและวิจัยการปลูกกาแฟบนดอยช้าง จึงค่อยๆปรับและให้ความรู้กับชาวบ้าน
จนกระทั่งปัจจุบันฝิ่นได้หายไปจาก ดอยช้าง และกลายเป็นถิ่นกาแฟที่ดีที่สุดของประเทศไทย
ด้วยพื้นที่ที่สูงกำลังดีสำหรับการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า
จึงทำให้กาแฟที่ผลิตจากดอยช้างมีความหอมหวนชวนชิมนั่นเอง
บริเวณศูนย์ฯ จะมีบริการให้ชิมกาแฟฟรีด้วย ผมได้ชิมมายอมรับเลยว่าหอมนุ่มกลมกล่อมจริงๆ
ด้านหลังของศูนย์ฯมีการปลูกดอกไม้เมืองหนาวสวยงามเลย
และที่นี่เองก็มีบริการห้องพักอีกด้วยเช่นกัน
ที่ศูนย์ฯจะเน้นการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อาราบิก้า และให้ความรู้กับชาวเขาที่อยู่บริเวณนี้
ตัวศูนย์ฯเองจะไม่ได้มีการรับซื้อกาแฟจากชาวบ้านแต่อย่างใด
แต่ปกติแล้วช่วงเย็นๆของแต่ละวันจะมีบริษัทมารับซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวบ้าน
วันที่ไปผมมีโอกาสได้แวะไปชมวิธีการผลิตกาแฟด้วย ซึ่งจะว่าไปก็ถือว่าไม่ได้ต่างจาก
กาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ผมเคยไปชมมาที่ชุมพรแต่อย่างใดครับ
หลังจากเดินเล่นที่ศูนย์แล้วผมจะแวะไปเดินเล่นที่จุดท่องเที่ยวของดอยช้างนั่นคือ พุทธอุทยาน
ระหว่างทางเจอร้านอาหารดูดีน่านั่งเลยแวะเสียเลยกับร้าน ดอยช้างวิว
ซึ่งวิวก็เหมือนชื่อร้านนั่นเองคือ เห็นวิวดอยช้างทั้งดอยทั้งหมู่บ้านเต็มๆตาเลยจร้า
แต่ตอนนั้นข้าวมาเสิร์ฟหิวจัดเลยไม่ทันได้ถ่ายรูปมาเลย ได้ถ่ายมาแต่กาแฟเย็น 555
พุทธอุทยาน หนึ่งในเก้าบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์
หลังจากอิ่มจากดอยช้างวิวแล้วผมก็ขับรถเลยไปอีกราว 1 กม.ก็เจอกับจุดเที่ยวหลักของดอยช้าง
ซึ่งจริงๆสามารถเดินมาจากศูนย์ฯ ก็ได้เพราะทางเดินจริงๆเป็นวงกลม (เดินรวมซัก 3-4 กม.)
บริเวณทางเข้าพุทธอุทยานที่นี่จะเต็มไปด้วยต้นพญาเสือโคร่งเลย
ผมเคยได้ยินมาว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีต้นพญาเสือโคร่งเยอะที่สุดในเมืองไทย
มากกว่า 40,000 ต้น แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีต้นพญาเสือโคร่งส่วนหนึ่งติดโรค
ทำให้ต้องโค่นต้นพญาเสือโคร่งไปจำนวนมาก ทำให้ปัจจุบันต้นพญาเสือโคร่งที่นี่ลดลงไปมาก
แต่ถ้าผมมาถึงที่นี่ในช่วงก่อนหน้านี้ซัก 2 อาทิตย์
พูดได้เลยว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้นพญาเสือโคร่งสวยมากๆ
พุทธอุทยานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พอได้เดินเข้ามาที่นี่แล้วทำให้จิตใจผมสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
ผมเองซึ่งในช่วงนั้นมีความไม่สบายใจจากเรื่องขัดแย้งหลายๆเรื่องกับคนรู้จัก
ก่อนที่จะเดินทางมาเชียงราย
พอได้มาเดินที่นี่กลับรู้สึกสงบเป็นอย่างมาก เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านป่าไผ่
เป็นเสียงที่ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูดีทีเดียว
ระหว่างทางเดินในป่าจะมีป้ายให้ข้อคิดเกี่ยวกับดำเนินชีวิตมากมาย
บางทีผมก็คิดนะว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนมากก็เกิดจากการที่เราเอาความคิดตัวเราเป็นที่ตั้ง
ใครคิดไม่เหมือนเราก็ถือว่าผิด เลยเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้ง
ส่วนตัวแล้วในช่วงหลัง โดยเฉพาะหลังจากมาเป็นนักท่องเที่ยว
ได้ใช้ชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งอะไรกับใครแล้ว ผมจึงเริ่มปล่อยวางมากขึ้น
แต่ผมเองก็จะยึดกฎเกณฑ์ของสถานที่ที่เราอยู่เป็นหลัก
จะไม่ทำอะไรที่ผิดกฎเกณฑ์ของที่นั้นๆ และเมื่อเห็นใครที่แหกกฎหรือทำผิดไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่
ผมเองก็จะพยายามบอกและเตือนคนเหล่านั้นอย่างเต็มที่
แต่ถ้าเขายังยืนยันว่าจะทำอย่างนั้นต่อไปผมก็ปล่อยวางละ
เพราะถือว่าผมได้พูดได้เตือนอย่างเต็มที่แล้วนั่นเอง
บ่นมาซะเยอะเชียวผม 555 กลับมาเที่ยวกันต่อดีกว่า
พุทธอุทยานเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของประเทศไทย เป็นบ่อน้ำหนึ่งในเก้า
ที่ได้นำไปกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาพุทธมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาส
ที่ในหลวงมีพระชนมายุครบรอบ 60 พรรษาอีกด้วย
พักอย่างมีสไตล์ที่ โรงแรมรสาบูทีค
หลังจากนั้นผมก็แว้บเข้าเมืองที่เชียงรายล่ะ
ซึ่งรอบนี้ผมได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมรสาบูทีค ซึ่งเป็นบูทีคโฮเทลสไตล์โมร๊อคโค
ที่นี่ถือเป็นโรงแรมที่สะดวกสบายมากๆเพราะตั้งอยู่กลางเมืองบนถนนพหลโยธินเลย
ขับรถไปแค่ 15 นาทีก็ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวงแล้ว
สำหรับ โรงแรมรสาบูทีค ผมได้รีวิวไว้แล้วสามารถไปชมได้เลยจร้า
สำหรับใครที่สนใจจะพักที่นี่ก็สามารถเช็คห้องว่างและราคาได้เลยครับ
เช็คราคาและจองที่พักผ่าน expedia.co.th
เช็คราคาและจองที่พักผ่าน Agoda.com
Voucher Code ลด 10% ของ expedia.co.th
KBANKEXPHOTEL4
แวะชมความงามอันวิจิตรที่วัดร่องขุ่น (Wat Rong Khun)
วันสุดท้ายของทริปเชียงรายผมเลือกที่จะอยู่ในตัวเมืองเป็นหลัก
โดยช่วงเช้าแวะไปชมความงามของวัดร่องขุ่น ของศิลปินชื่อดังอย่างอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
จริงๆแล้วที่นี่ผมเคยได้มีโอกาสมาเที่ยวตั้งแต่สมัย 7 ปีก่อน
ซึ่งในครั้งนั้นวัดยังไม่เสร็จดี และนักท่องเที่ยวยังไม่มาก
การกลับมาครั้งนี้พบว่าเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว แม้วัดจะยังไม่เสร็จก็ตาม
โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบ
มีร้านรวงมาเปิดมากมายเต็มไปหมดทั้งร้านข้าว ร้านขายของที่ระลึก
ซึ่งไม่ว่าการที่อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
แม้บางคนจะบอกว่าการสร้างวัดที่นี่ดูเป็นการสิ้นเปลืองเกินเหตุสู้เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
แต่สำหรับผมแล้ว ผมกลับมองว่าการสร้างวัดจนกลายเป็น Landmark หลักของเชียงราย
ได้ทำให้เกิดอาชีพ เกิดงานขึ้นอย่างมากมายในพื้นที่แห่งนี้
ส่วนตัวผมในแง่นี้ผมก็ชื่นชมอ.เฉลิมชัยเป็นอย่างมากแล้ว
ปัจจุบันวัดร่องขุ่นยังคงก่อสร้างและตกแต่งอยู่ ผมว่าน่าลุ้นนะว่าระหว่างวัดร่องขุ่นที่ประเทศไทย
กับ Familia Sagrada ที่บาเซโลน่าประเทศสเปนที่ไหนจะสร้างเสร็จก่อนกัน
ไร่สิงห์ปาร์ค อาณาจักรไร่ชา ใกล้เมืองเชียงราย
หลังจากเดินเล่นที่วัดร่องขุ่นแล้วขับรถต่อไปแค่ 5 กม.
ก็จะถึงจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ของตัวเมืองเชียงรายนั่นคือ Singha Park หรือ สิงห์ปาร์ค
หรือถ้าจะเอาชื่อเก่ากว่านั้นที่นี่เคยเป็นไร่บุญรอดมาก่อนนั่นเอง
แน่นอนว่ามาถึงแล้วต้องถ่ายรูปกับ landmark ที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องมาเซลฟี่ที่นี่กันก่อนจร้า
สำหรับสิงห์ปาร์คนั้นการเที่ยวปกติถ้าอยากไปให้ครบทุกจุด
จะต้องใช้รถรางที่มีไว้บริการในราคา 50 บาท ซึ่งถ้าเป็นวันจันทร์-พฤหัสบดีจะมีรอบรถทุก 30 นาที
แต่ถ้าเป็นศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ รอบรถจะมีทุกๆ 15 นาที
ซึ่งค่ารถ 50 บาทนั้นจะแปลงเป็นน้ำดื่มสิงห์ และน้ำเกลือแร่ซัลโวได้ในภายหลัง
สำหรับการเที่ยวชมสวนจะใช้เวลาราวๆ 1 ชม.
อีกวิธีหนึ่งในการเที่ยวก็คือการเช่าขี่จักรยานขี่เอาครับ ซึ่งมีให้เช่าที่ด้านหน้าของสิงห์ปาร์คเลยจ้า
แต่สำหรับผมที่อยากไปชิวๆ ไม่อยากรีบขึ้นรีบลงรถราง
และขี้เกียจขี่จักรยาน เลยเลือกที่จะขับรถเข้าไปแทน ซึ่งจะแวะได้ 2 จุดคือ จุดชมวิวไร่ชา
และจุดที่เป็นศูนย์กีฬาฯเท่านั้น โดยจุดที่หายไปคือจุดที่เป็นฟักทองยักษ์+ไร่คอสมอส
กับจุดที่เป็นซาฟารี ชมม้าลายและยีราฟ
จุดแรกที่ผมไปคือจุดชมวิว 360 องศาไร่ชา จริงๆแล้วตรงนี้แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรมาแต่เช้าเลย
เพราะจะมีไอน้ำจากต้นชาและทะเลสาปที่อยู่ด้านหลังระเหยขึ้นมาเป็นหมอกได้
ตรงนี้จะมีร้านอาหารภูภิรมย์อยู่ด้วย ตอนแรกผมก็กะว่าจะทานที่นี่เลย
แต่ด้วยความที่ที่นี่เป็นร้านอาหารไทย ซึ่งจะเอาให้อร่อยเราต้องสั่งเป็นกับมาแบ่งกันกิน
แล้วผมไปคนเดียวไง เลยไม่เอาดีกว่า
อีกอย่างหลังจากคุยๆกับน้องที่ร้านอาหาร ทราบว่าสิงห์ปาร์คพึ่งเปิดร้านอาหารใหม่
อยู่ตรงศูนย์กีฬาฯ ชื่อ Barn House Pizzeria ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปชิมดูหน่อย
Barn House Pizzeria เป็นร้านอาหารที่อยู่ใต้อาคารสำหรับการเล่น Zip line
และอยู่ติดกับบ้านแดง บ้านสไตล์คันทรี ที่ใช้เป็นที่จัดงาน Farm Festival ที่จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายนด้วย
เอาล่ะตามมาเลย Barn House Pizzeria อยู่ใต้ตึกนี้นี่ละจร้าาา
น่าเสียดายตอนไปไม่มีใครมาเล่น Zip Line ให้ผมถ่ายรูปเลย 555
ด้วยความที่เป็นร้านอาหารที่เปิดใหม่ และผมไปถึงที่นี่ตั้งแต่ 11 โมง
ผมเลยเป็นลูกค้าคนแรกของร้านอาหารในวันนี้ไปเลย
ไหนๆก็ไหนๆ เลยถือโอกาสถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้านมาซะเลย
แน่นอนว่าช่วงที่ไปอากาศเย็นสบายผมเลยเลือกนั่งส่วนด้านนอก (แต่ในร่มนะ)
เพราะแดดแอบแรงอยู่ 5555
การที่เป็นลูกค้าคนเดียวของร้านในตอนนั้น
เลยได้มีโอกาสพูดคุยกับน้องๆพนักงานและเชฟที่ร้าน
ก็เลยให้เค้าแนะนำอาหารเสียเลย
อ้อที่นี่ส่วนครัวจะอยู่ด้านนอกทำเป็นครัวเปิดให้เราเห็นกระบวนการทำอาหารได้เลย
ปล. คุณน้องที่เตรียมอาหารแอบน่ารัก 555
หลังจากที่ได้คุย เชฟเค้าแนะนำให้ชิมสองเมนูคือ
ซีซ่าร์สลัด (150++) จานนี้จุดเด่นคือที่นี่ใช้ผักที่ปลูกเองในสิงห์ปาร์คทั้งหมด
ทำให้สามารถควบคุมเรื่องคุณภาพได้เป็นอย่างดี รสชาติผักหอมกรอบมากๆ
อย่างที่สองที่สั่งคือ พิซซ่าพาร์ม่าแฮม (300++)
จานนี้มีการใช้พาร์ม่าแฮมนำเข้าจากอิตาลีแท้ๆ ผสมกับผักร็อกเก็ตสดๆจากไร่ของสิงห์เอง
ถือว่าลงตัวดีกินแล้วให้ความสดชื่นของผักตัดกับรสชาติของแฮม และแป้งบางกรอบเป็นอย่างดี
เป็นพิซซ่าที่โรยแต่ออริกาโน่ก็อร่อยแล้ว ไม่ต้องพึ่งซอสมะเขือเทศแบบพวกพิซซ่าเฟรนไชส์ที่ขายตามห้าง
สำหรับน้ำผมจัดมาเป็นสตอเบอรี่ปั่นที่ปั่นสตอเบอรี่มาให้หอมหวานถึงใจมากๆ
สิริรวมแล้วมื้อนี้ค่าเสียหาย 623.81 บาท (ใบ้หวยเหรอ 555)
สรุปว่ามื้อนี้ไม่ได้กินที่ภูภิรมย์เพราะกลัวจะเยอะไป
แต่มากินที่ Barn House ก็ไม่ได้น้อยลงเลย 555 ผมกินพิซซ่าไปได้แค่ครึ่งเดียว
ที่เหลือเลยเก็บลงกล่องเอาไปกินต่อตอนเย็นก่อนขึ้นเครื่องแทน
บ๊ายบายเชียงรายไว้จะกลับมาพักกายพักใจที่นี่อีกนะ
จริงๆแล้วผมยังมีเวลาช่วงบ่ายอยู่ แต่จากการที่หายแว้บจากโลกไปในช่วงไปนอนที่ดอยเลาลี
ทำให้ช่วงนั้นมีงานเข้ามาเล็กน้อย ช่วงบ่ายผมจึงเลือกที่จะไปหาที่นั่งทำงานในเมืองแทน
ตอนเย็นก็แจ้นไปสนามบินเตรียมบินกลับกรุงเทพฯ
ด้วยพลังสมองกันเต็มเปี่ยมหลังจากได้มาชาร์จพลังประจำปีเป็นที่เรียบร้อย
วันที่ผมจะกลับนั้นจากช่วงบ่ายที่แดดดีๆ ปรากฎว่าช่วงเย็นหมอกลงทำให้เครื่องบินลงไม่ได้อยู่พักหนึ่ง
แต่โชคดีที่ผมจองตั๋วแบบ Blue Ribbon Class มาเลยมานั่งที่ Lounge รอได้อย่างสบายเลย
สำหรับทริป ดอยช้าง ดอยวาวี นี้อาจจะไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมากมาย
แต่ก็ถือว่าเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้คือการได้มาพักผ่อน พักกาย พักสมอง
ได้อยู่กับตัวเอง ได้ค่อยๆนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เพื่อเตรียมพร้อมในการเริ่มต้นปี 2016
ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่คงจะมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตมากมาย จะมีอะไรบ้างก็เตรียมติดตามกันนะครับ
สำหรับวันนี้ผมก็ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ