Nov-2015
4 ที่พัก 4 เมืองใกล้สถานีรถไฟในญี่ปุ่น – โอซาก้า เกียวโต ฮิโรชิม่า นาโกย่า
4 ที่พัก 4 เมืองใกล้สถานีรถไฟในญี่ปุ่น
โอซาก้า เกียวโต ฮิโรชิม่า นาโกย่า
การเที่ยวญี่ปุ่นหากเราใช้ JR Pass ที่พักที่สะดวกคือที่พักที่ใกล้สถานีรถไฟ
เพราะเราสามารถต่อรถไฟได้ง่ายไม่ต้องลากกระเป๋าไกล
วันนี้ Travel Planet Xperiences จะพาไปชม
โรงแรม 4 แห่งใน 4 เมืองใกล้สถานีรถไฟที่เดินทางสุดแสนสะดวกกันครับ
การใช้งาน JR Pass แม้ว่าเราจะสามารถขึ้นรถไฟ JR ได้ฟรีก็ตาม
การที่เราพักอยู่ไกลจากสถานีรถไฟชิงคันเซ็นก็ย่อมทำให้เราเสียเวลาในการเดินทางอยู่ไม่น้อย
วันนี้ผมขอนำที่พัก 4 ที่ที่ผมได้มีโอกาสไปพัก
ในการไปดูใบไม้แดงเมื่อปลายปี 2015 มาฝากเพื่อนๆกัน
จะได้ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกโรงแรมได้ครับ
ซึ่งตอนที่ไปผมมีเงื่อนไขในการจองที่พักรอบนี้อยู่ 3-4 ข้อคือ
- อยู่ใก้สถานีรถไฟที่ชิงคันเซ็นผ่าน (จะได้เดินทางสะดวก)
- เป็นห้องส่วนตัว เพราะผมแบกของมีค่าเยอะ โดยเฉพาะกล้อง จึงอยากได้ความเป็นส่วนตัว
- ถ้าเป็นไปได้อยากได้เตียง Twin เพราะคุณน้องที่ไป กรนดังเลยขอแยกเตียงนิดนึง 5555
- ที่พักเป็นแบบยกเลิกได้ เพราะแพลนผมเปลี่ยนบ่อยตามสภาพอากาศ
ซึ่งจากเงื่อนไขทั้งหมดนี้ทำให้การเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้
ผมเลือกใช้บริการของ expedia.co.th
เนื่องจาก โรงแรมส่วนมากแล้วเป็นแบบ Free Cancellation
ซึ่งสามารถยกเลิกห้องได้จนกระทั่ง 24 ชม.ก่อนเข้าพักนั้นเองครับ
จะเห็นว่าผมยกเลิกที่พักเป็นว่าเล่นเลยครับ
อีกสิ่งที่ดีงามสำหรับ expedia นั้นคือมีการสมัครสมาชิก expedia+
เพื่อสะสมคะแนนด้วยนะครับ ที่สำคัญคะแนนไม่มีวันหมดอายุด้วย
โดยทั่วไปแล้วมูลค่าการใช้จ่าย 20 บาทจะได้ 1 คะแนน
แต่ตอนนี้ถ้าจองผ่าน mobile จะได้คะแนน 3 เท่า
นั่นคือ 20 บาทได้ 3 คะแนน
ปกติ 3,500 คะแนนจะแลกได้ 800 บาทครับ
หรือเทียบให้เห็นภาพคือจองราวๆ 23,000 บาท
จะได้คะแนนพอที่จะแลกส่วนลดได้ 800 บาท
หรือเท่ากับว่าการเป็นสมาชิก
เราจะได้ส่วนลดพิเศษจากคะแนนนี้ราวๆ 3% เลยครับ
เห็นมั๊ยล่ะว่ามันน่าสมัครขนาดไหนครับ
ยิ่งในหนึ่งปีหากเราพัก 7 คืนขึ้นไปเราจะได้เป็นสมาชิกแบบ Silver
และ 15 คืนขึ้นไปเราจะเป็นสมาชิกแบบ Gold ซึ่งมีสิทธิประโยชน์มากมายครับ
อย่างที่ผมไปผมนอนไป 10 คืนได้เป็นสมาชิกแบบ Silver
ที่ได้มาเลยคือคะแนนโบนัสพิเศษ อีก 10% ครับ
สรุปว่ามันคือดีงามสำหรับการเป็นสมาชิก expedia+ ใครสนใจสมัครโลดดด…
สำหรับวิธีการจอง และวิธีใช้งาน expedia ผมจะมีเขียนไว้ข้างล่างนะครับ
ใครสนใจสามารถเลื่อนลงไปอ่านได้ครับ
เรามาดูรีวิวโรงแรมกันเลยดีกว่าครับ
สำหรับรีวิวญี่ปุ่นทริปใบไม้แดงสามารถอ่านได้จาก ที่นี่ ครับ
ญี่ปุ่นใบไม้แดง: บันทึกสีสันแห่งสารทฤดู
Hotel New Hiroden, Hiroshima
Hotel New Hiroden Hiroshima ถือเป็นโรงแรมที่สะดวกสบายแห่งหนึ่งของเมืองฮิโรชิม่า
เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก เดินแค่ 3 นาทีจากหน้าสถานีเท่านั้น
ที่นี่ถ้าเราไปถึงเร็วแล้วยังไม่สามารถเช็คอิน
เราก็สามารถไปฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วก็ไปเดินเล่นก่อนได้เลย
แล้วพอกลับมากระเป๋าทั้งหมดก็จะถูกย้ายแว๊บบบบมาที่ห้องเรียบร้อยครับ
วันที่ผมไปพักผมได้ห้องชั้น 6 ครับ ห้องพักขนาดเล็กๆ แต่อุปกรณ์ครบครัน
ซึ่งที่ญี่ปุ่นเค้าจะเรียกโรงแรมแนวนี้ว่า Business Hotel
เป็นโรงแรมขนาดห้องเล็กๆ เน้นแค่เอาไว้นอนพักในการไปทำธุรกิจ (สำหรับผมคือไปเที่ยว)
ซึ่งที่นี่มีโต๊ะทำงานให้ผมด้วยเท่านี้ก็แฮ้ปปี้แล้วจร้า…
ราคาห้องที่ Hotel New Hiroden Hiroshima จะอยู่ที่ราวๆ 2,000 บาท
มีห้องทั้งแบบห้องเดี่ยวและห้องแบบ Tripple
ดูข้อมูลโรงแรมและจองได้ ที่นี่ ครับ
Station Ryokan Seiki, Kyoto
โรงแรมที่สองที่เอามาฝากกันอยู่ที่เกียวโต ที่เกียวโตเองปกติเป็นเมืองที่ที่พักไม่มากเท่าไหร่
ยิ่งโรงแรมที่ใกล้สถานีรถไฟแล้วส่วนมากจะราคาแพงมาก
แต่ผมค่อนข้างโชคดีหลังจากที่มีการเปลี่ยนแพลน
พอผมลองมาหาโรงแรมในเกียวโตก็เจอที่นี่พอดีเลยครับ
Station Ryokan Seiki นั้นอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเกียวโตราว 700 เมตร
ซึ่งก็อยู่ในระยะที่เดินไม่เกิน 10 นาที แต่ถ้าใครไม่อยากเดิน
สามารถต่อรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Kujo ได้ครับจะเดินแค่ 150 เมตรเท่านั้น
ที่นี่ใช้ชื่อว่าเรียวกังก็จริงแต่ไม่ได้เป็นโรงแรมที่มีออนเซนแต่อย่างใดนะครับ
เจ้าของเป็นคุณลุงอายุซัก 60-70 ปีได้ครับ แกเซอร์วิสดีมาก
เอาแผนที่มาให้เราพร้อมทั้งแนะนำจุดเที่ยวและสถานที่กินช้อปรอบๆโรงแรมแกครับ
ห้องที่ผมพักเป็นห้องชั้นบนสุดครับขนาดห้องอาจจะเล็กไปซักนิด
แต่สำหรับการนอนสองคนผมว่ามันก็โอเคล่ะครับ
ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าดูจากชุดเครื่องนอนที่คุณลุงจัดไว้ให้
ผมเข้าใจว่าห้องนี้สามารถนอนสูงสุดได้ 4 คนครับ
ส่วนห้องน้ำก็เล็กกะทัดรัดมาตรฐานโรงแรมแบบ Business ครับ
ซึ่งที่นี่ผมว่าดีตรงเรื่องของทำเลครับเพราะจากถนนตรงสถานี Kujo
มีรถบัสหลายสายที่สามารถนั่งตรงไปยังที่เที่ยวยอดฮิตอย่างวัดน้ำใสได้เลย
ซึ่งแน่นอนขากลับก็เช่นกัน รถบัสจะกลับตรงมาที่โรงแรมเลย
ไม่ต้องไปเบียดแย่งกับคนอื่นๆที่มักจะนั่งไปลงที่สถานีเกียวโตครับ
สนนราคาที่โรงแรม Station Ryokan Seiki ต่อคนอยู่ที่ราวๆ 1,200 – 1,600 บาท
ดูข้อมูลโรงแรมและจองได้ ที่นี่ ครับ
Hotel Beni Higashimikuni, Osaka
โรงแรมที่สามที่จะมาแนะนำเป็นโรงแรมที่โอซาก้าครับ ชื่อ Hotel Beni Higashimikuni
ซึ่งผมใช้เป็นฐานบัญชาการในการเที่ยวครั้งนี้
เพราะโอซาก้าถือเป็นเมืองที่เราสามาถเดินทางไปยังเมืองข้างเคียงในภูมิภาคคันไซได้ง่ายที่สุดแล้ว
ซึ่งตอนแรกผมเลือกที่จะนอนที่โรงแรมแถวๆสถานีโอซาก้า/อุเมดะเพราะจะอยู่ในเมืองมากกว่า
เนื่องจากที่โอซาก้านั้นสถานีรถไฟชิงคันเซนจะไปจอดที่สถานีชิน-โอซาก้า
ไม่ใช่สถานีโอซาก้าที่อยู่กลางเมืองครับ
แต่ด้วยความที่ตอนจองเป็นช่วงก่อนเดินทางไม่นานห้องพักแถวสถานีอุเมดะก็เหลือน้อย
และเหลือแต่โรงแรมห้าดาวเป็นส่วนมาก
ครั้นจะไปนอนที่ย่านชินเซไก ที่ที่พักถูกมากเหมือนทุกครั้ง
ก็ค่อนข้างเสียเวลาหากจะไปเมืองอื่นๆ
สุดท้ายเลยมาลงที่โรงแรม Hotel Beni Higashimikuni ซึ่งอยู่แถวๆ ชินโอซาก้าห่างประมาณ 2 กม.
แต่สามารถนั่งรถใต้ดินไปลงที่สถานี Higashimikuni แล้วเดินต่อราวๆ 700 เมตรได้
ที่นี่แม้ที่พักอาจจะดูไกลจากตัวเมืองไปซักนิด แต่ก็แลกมาด้วยโรงแรมอยู่ใกล้ซูเปอร์มาร์เกต
ซึ่งทำให้ประหยัดค่าอาหารได้มากโขครับ
เพราะช่วงเย็นๆทุกวันจะมีอาหารลดราคาให้เลือกซื้อกันครับ
แต่ต้องบอกก่อนว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรม Love Hotel ครับ
ซึ่งจะรับเฉพาะแขกอายุ 18+ เท่านั้นครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโรงแรมนี้จะมีอะไรไม่ดีนะครับ
เพราะเท่าที่สังเกตุผมก็เห็นคนญี่ปุ่นที่เป็นครอบครัวหลายบ้านมาพักที่นี่
เพราะเอาจริงๆผมว่าโรงแรมนี้ห้องหับใหญ่โตทีเดียว
ซึ่งถ้าเรา walk in เราสามารถดูแบบห้องได้ก่อนด้วยครับ
เขาจะมีขึ้นหน้าตาของห้องแบบต่างๆไว้ที่ TV หน้าเค้าท์เตอร์ครับ
แต่ด้วยความเป็น Love Hotel ทางเดินแอบดูสลัวๆนิดนึงครับ
และตัวโรงแรมจะไม่ค่อยมีหน้าต่าง คงกลัวใครแอบส่องเข้ามา 555
เตียงใหญ่มาก.. ห้องก็ใหญ่ครับ แต่จะมีกระจกบนเพดานเพื่อ… !!??
ห้องน้ำแยกสัดส่วนชัดเจนและใหญ่โตที่สำคัญมีจากุชชี่ให้แช่ด้วย
แถมมีปุ่มเปิดไฟจากอ่างด้วยนะ แบบว่าไฟห้องน้ำจะมืดแล้วเป็นไฟเรืองแสงจากอ่างน้ำเปิดขึ้นมาแทน 5555
อ้อที่นี่มีอาหารเช้าด้วยครับ เรียกว่าจากราคาขนาดห้องและมีอาหารถือว่าไม่แพงเลยครับ
สำหรับโรงแรม Hotel Beni Higashimikuni นี้
ถือว่าเป็นโรงแรมที่เด่นตรงขนาดของห้องและเรื่องความคุ้มค่าครับ
รวมไปถึงยังอยู่ใกล้ซูเปอร์มาร์เกต
แต่ข้อเสียคือห้องไม่มีกระจก (คงกลัวมีใครแอบส่องเข้ามา 555)
และอยู่ไกลจากเขตเมืองไปซักนิด
โดยเฉพาะ nanba ที่ต้องนั่งรถไฟเข้าไปเกือบ 20 นาที
แต่ถ้าจะต่อรถไปที่ โกเบ เกียวโตอะไรพวกนี้ที่นี่ถือว่าโอเคเลยครับ
สนนราคาที่โรงแรม Hotel Beni Higashimikuni ต่อคนอยู่ที่ราวๆ 1,400 บาทครับ
ดูข้อมูลโรงแรมและจองได้ ที่นี่ ครับ
Nagoya Ekimae Montblanc, Nagoya
โรงแรมสุดท้ายของวันนี้ที่ผมจะมาแนะนำคือ โรงแรม Nagoya Ekimae Montblanc
โรงแรมนี้ถือเป็นโรงแรมใจกลางเมืองนาโกย่า
เดินจากสถานีรถไฟนาโกย่าไปเพียง 200 เมตรหรือราว 3 นาทีเท่านั้น
ซึ่งนาโกย่านั้นก็เป็นเมืองที่สามารถใช้เป็นฐานบัญชาการในการเที่ยวญี่ปุ่นได้ดี
เพราะจากนาโกย่าสามารถนั่งชิงคันเซ็นราว 1 – 1:30 ชม.
ก็สามารถเดินทางไปถึงเกียวโต โอซาก้า และโกเบแล้ว
หรือหากวนมาทางโตเกียวก็ใช้เวลาเพียง 1:30 ชม.เท่านั้นครับ
ลักษณะห้องก็เหมือน Business Hotel ทั่วไปแต่ห้องค่อนข้างใหญ่ครับ
มีโต๊ะทำงาน ให้สามารถนั่งทำงานได้ เตียงมีทั้งเตียงคู่และเตียงเดี่ยวให้เลือก
ห้องน้ำก็เล็กๆตามสไตล์ Business Hotel
สำหรับโรงแรม Nagoya Ekimae Montblanc
จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องทำเลที่สะดวกมากๆในการเดินทาง
ราคาและคุณภาพถือว่าคุ้มค่าสุดๆ ถือเป็นโรงแรมที่เหมาะกับการใช้เป็นฐานบัญชาการในการเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นการมาดูใบไม้แดงฤดูใบไม่ร่วง หรือการมาดูซากุระฤดูใบไม้ผลิ
หรือกรณีมาดูใบไม้ร่วงในโซนคันไซ ก็สามารถใช้ที่นี่เพื่อเป็นที่พัก
ในกรณีที่อยากแว๊บออกมาดู ใบไม้แดง+ซากุระ ที่โอบาระก็ได้ครับ
สำหรับสนนราคาของ Nagoya Ekimae Montblanc อยู่ที่ราวๆ คนละ 1,500 บาท
ต้องการดูข้อมูลและจองห้องคลิป ที่นี่ ได้เลยครับ
การจองที่พักด้วย Expedia ผ่าน Map
การจองห้องกับ expedia สิ่งที่ผมชอบมากคือการจองห้องด้วย Map
เพราะส่วนมากแล้วผมต้องการที่พักในทำเลที่ดีและเดินทางสะดวก ซึ่งการใช้งาน Map
จะทำให้เราเห็นเลยว่าที่พักของเราอยู่ที่ทำเลไหน วิธีการใช้งานก็ไม่ยากเลยครับ
เริ่มจากใส่ชื่อเมือง และวันที่ที่ต้องการไปจากนั้นกด Search
จากนั้นกดตรง View Map
จากนั้นสนใจโรงแรมไหนก็คลิกได้เลย จะมีข้อมูลโรงแรมและราคาคร่าวๆขึ้นมาให้ครับ
อย่างที่ฮิโรชิม่าผมเลือกที่จะพักที่ Hotel New Hiroden Hiroshima
เพราะถือเป็นโรงแรมที่ราคาถูกที่สุดที่ยังเหลืออยู่ในละแวกสถานี Hiroshima นั่นเอง
จากนั้นเลือกแบบห้องแล้วก็กรอกข้อมูลเหมือนทั่วๆไปครับ
ซึ่งในขั้นตอนการจ่ายเงินหากเรามี Voucher Code ของ expedia อยู่เราสามารถใส่ตรงนี้ได้เลยครับ
ซึ่งเท่าที่ผมทราบตอนนี้ Code KTCEXP1502 สามารถใช้งานได้
โดยจะลดราคาห้องพักให้ 10% ครับ
ในการจ่ายเงินเราจะต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิต ซึ่งหากเราใช้เครื่องของเราเอง
เราสามารถบันทึกข้อมูลบัตรทิ้งไว้ใน Account ของเราได้เลยครับ
เพื่อความสะดวกในการจองครั้งหน้า จากนั้นคลิกจ่ายเงินก็เรียบร้อย
ซึ่งข้อดีของ Expedia อีกอย่างหนึ่งคือจะตัดเงินเป็นเงินบาท
ทำให้เราไม่ต้องกังวลกับอัตราแลกเปลี่ยนครับ
การจัดการที่พัก/ยกเลิกที่พัก
ตามที่ผมเกริ่นไว้ต้นกระทู้ว่าการจองโรงแรมของผม
ผมเลือกที่จะจองที่พักแบบสามารถยกเลิกได้
เนื่องจากผมแพลนโปรแกรมไว้หลวมๆ เพื่อปรับเปลี่ยนที่เที่ยวไปตามสภาพอากาศ
ซึ่งทริปใบไม้แดงครั้งนี้ ผมก็เปลี่ยนแพลนและที่พักหลายรอบเลย
การเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกที่พักก็ง่ายมากครับ
หลังจาก Login แล้วให้ไปที่
Manage Trips —> Manage My Hotel
จากนั้นเลือกโรงแรมที่ต้องการยกเลิก
กดที่ Change Reservation กรณีอยากเปลี่ยนวัน
หรือกด Cancel Room กรณียกเลิกห้อง
ซึ่งถ้าเป็นห้องที่ตอนจองมีคำว่า Free Cancellation ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยล่ะครับ
จะเห็นว่าปัจจุบัน expedia เองก็ถือเป็น Agency ที่มีจุดเด่นในเรื่องความคล่องตัวเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญมักเป็น Agency ที่มี Voucher Code ออกมาบ่อยๆด้วยครับ
เรียกว่าทั้งได้ส่วนลดจาก Code แล้วยังมีโอกาสในการสะสมคะแนนจากการจองห้องพักอักด้วยครับ
ดังนั้นแล้วการออกทริปครั้งหน้าอย่าลืมลองใช้ Expedia.co.th ในการจองที่พักนะครับ