Nov-2015
ญี่ปุ่นใบไม้แดง: บันทึกสีสันแห่งสารทฤดู
ญี่ปุ่นใบไม้แดง: บันทึกสีสันแห่งสารทฤดู
Journey of …Japan Autumn…
พูดถึงสารทฤดู หรือฤดูใบไม้ร่วง..
ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลก
ในการชมใบไม้แดง (koyo) ด้วยความสวยของสีสันของธรรมชาติ
บวกกับความคลาสสิคของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นแล้ว
พูดเลยว่าปังมากๆ…
ผมพึ่งได้มีโอกาสไปชมใบไม้แดงที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
ผมจึงเลือกที่จะไปเก็บภาพแห่งสีสันของธรรมชาติที่สุดพิเศษนี้ที่ภูมิภาคคันไซเป็นหลัก
แม้ว่าจะเป็นภูมิภาคที่ผมมาทุกครั้งในการมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ตาม
แต่สำหรับฤดูกาลแห่งสีสันนี้มันเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยจริงๆ
แต่เพื่อไม่ให้การเดินทางมันซ้ำการมาเที่ยวครั้งก่อนๆ
ผมเลยแพลนไปลงที่ฟุกุโอกะเที่ยวในเมืองซัก 2-3 วัน
แล้วค่อยๆไล่มาฮิโรชิม่า และมาที่คันไซครับ
เอาล่ะครับ ผมขอพาเพื่อนไปชมความสวยงามของธรรมชาติ
ผสมผสานกับสิ่งปลูกสร้างในญี่ปุ่นได้อย่างลงตัวกันครับ
พร้อมแล้วตามมาเล้ยยยย…..
ว่าด้วยโปรแกรมการเที่ยว และการจองโรงแรมกับ Expedia.co.th
ทริปนี้ผมก็จัดเต็มตามฟรีวีซ่าที่ได้คือ 15 วัน
ตอนแรกสองจิตสองใจ เพราะส่วนตัวอยากจะไปขับรถวนรอบฟูจิซังด้วย
แต่ดูจากเวลาที่มีแล้วไม่น่าจะพอ
อีกทั้งโซนรอบฟูจิซังนั้นเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงและอากาศหนาว
ในช่วงที่ไปนั้นใบไม้จะแดงก่อนและร่วงไปก่อนแล้ว
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจไม่ไปฟูจิซังครับ
การเดินทางครั้งนี้สำหรับตัวผมเองก็เหมือนทุกทริปที่เดินทาง
คือจะแพลนโปรแกรมไว้หลวมๆ เพื่อที่จะได้ขยับขยายได้
เนื่องจากที่ญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ร่วงนั้น เป็นช่วงที่อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จะมีฝนตกสลับแดดแทบจะทุกวัน
การแพลนโดยที่ฟิกว่าวันนั้นวันนี้ ต้องนอนเมืองนั้นเมืองนี้แบบเป๊ะๆ
อาจจะทำให้เสียโอกาสในการไปเก็บภาพไปพอสมควร
ที่คันไซผมเลยแพลนที่จะพักแถวๆ ชินโอซาก้ายาวไปเลย
เพราะสะดวกในการขึ้นลงรถไฟไปเมืองต่างๆที่อยู่ข้างเคียง
(จริงๆสถานีโอซาก้า/อุเมดะ จะสะดวกกว่าแต่ตอนผมทำทริปที่พักแถวนี้เต็มไปหมดแล้ว)
ซึ่งการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมในครั้งนี้
ส่วนมากแล้วผมใช้บริการจาก expedia.co.th เป็นหลัก
เพราะว่า expedia.co.th มีระบบ “Free Cancellation”
ที่สามารถยกเลิกที่พักได้ จนก่อนเข้าพัก 24 ชม.
ซึ่งหลังจากยกเลิกที่พัก เงินก็จะคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตในวันนั้นเลยครับ
แต่ถ้าเป็นที่พักแบบ “Book Now, Pay Later” เราก็จะไปจ่ายเงินที่โรงแรมเลย
ซึ่งส่วนมากแล้วก็สามารถยกเลิกที่พักได้จนก่อนเข้าพัก 24 ชม.เช่นเดียวกันครับ
สำหรับ โปรแกรม Version 1 ของผมก็เป็นไปตามนี้ครับ
Day 1, 18 Nov : BKK-Fukuoka – Fukuoka Sightseeing
Day 2, 19 Nov: Fukuoka Sightseeing
Day 3, 20 Nov: Fukuoka – Hiroshima (using JR Sanyo San’in Pass #1)
Day 4, 21 Nov: Miyajima – Iwakuni (using JR Sanyo San’in Pass #2)
Day 5-9, 22-26 Nov: Kansai (Kobe Osaka Kyoto Nara) (using JR Sanyo San’in Pass #3-7)
Day 10 27 Nov: Osaka
Day 11 – 28 Nov: Osaka – Nagoya
Day 12 – 29 Nov: Obara
Day 13 – 30 Nov: Nagoyo – Tokyo
Day 14 – 1 Dec: Tokyo
Day 15 – 2 Dec: Tokyo-Bangkok
สำหรับตั๋วเครื่องบินตอนแรกผมจะจองกับทาง expedia.co.th ไปเลย
เพราะช่วงนั้นมีโปร Travel Anywhere
ที่เป็นการเซลรวมกันของตั๋วเครื่องบินกับที่พัก 2-3 คืน
ซึ่งราคาจะถูกกว่าเราจองแยกราวๆ 20-25%
จากการที่ผมค้นดูมันก็ถูกกว่าจองแยกไม่น้อยเลยครับ
ตอนแรกกรอกข้อมูลเตรียมจองเรียบร้อยแล้ว
แต่นาทีสุดท้ายก่อนผมจอง เพื่อนผมอีกคนขอไปด้วย
ผมเลยไปเลือกใช้โปรจองตั๋วของสายการบินที่ออกโปรแบบแพ๊คคู่แทน
ซึ่งได้ราคาที่ถูกกว่าครับ แล้วค่อยแยกจองโรงแรมแทนครับ
เตรียมตัวเรื่องการติดต่อสื่อสาร
การเที่ยวประเทศญี่ปุ่นอย่างที่ทุกคนทราบครับว่ามีเครือข่ายรถไฟที่สะดวกสบายมากที่สุดในโลก
แต่ความสะดวกสบายนั้นก็มาพร้อมกับความงุนงงที่สุดในโลกเช่นกัน
ว่าเราต้องขึ้นรถไฟขบวนไหนไปไหนอย่างไรเวลาเท่าไหร่
และญี่ปุ่นเองก็เป็นประเทศที่ตั้งชื่อสายรถไฟเป็นชื่อ
ไม่ได้ใช้ตัวเลขแบบประเทศจีนที่แลจะเข้าใจได้ง่ายกว่า
แต่ทว่าความงุนงงสงสัยเหล่านั้นจะหมดไปเลยเมื่อเรามีอินเตอร์เนต
ทั้ง Google map และ Hyperdia ล้วนเป็นเครื่องมือชั้นดี
ในการดูรอบรถไฟ และหารูทที่เร็วที่สุดในการเดินทาง ณ เวลานั้นๆ
และความที่ผมเองไม่มีแพลนที่ตายตัวจึงไม่สามารถทำแพลนล่วงหน้าได้
ว่าวันนั้นวันนี้ผมจะต้องไปขึ้นรถไฟขบวนนั้นขบวนนี้ตอนกี่โมง บลาๆๆๆ เอาไว้ก่อนได้
ดังนั้นผมจึงมักใช้ Google map จาก iPhone ของผมเป็นตัวช่วยในการเดินทาง
ซึ่งแน่นอนการจะใช้งาน Google map จำเป็นต้องมีอินเตอร์เนตไว้ใช้งาน
ผมจึงได้ใช้บริการของ Samurai Wifi โดย BS-Mobile
สำหรับการเดินทาง 15 วันแบบผมแล้ว
เฉลี่ยค่าเช่า Pocket Wifi แล้วเหลือไม่ถึง 150 บาทต่อวัน
ซึ่งเจ้า Pocket Wifi ตัวนี้สามารถแชร์เนตใช้ได้สบายๆที่ 4-5 เครื่องเลยทีเดียวครับ
ทั้งนี้หากเพื่อนๆสนใจจะใช้บริการของ Samurai Wifi
ให้แจ้งสถานที่ที่จะไปให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบด้วยนะครับ
เพราะทาง BS-Mobile จะมีเครื่อง 2 รุ่นที่เหมาะกับการเที่ยวในแต่ละแบบ
อย่างตัวเครื่องที่ผมใช้จะเป็น EMOBILE
ซึ่งเหมาะกับการใช้ในเมืองสัญญาณ 4G LTE จะแรงเวอร์มากครับ
แต่ถ้าออกไปโซนภูธรสัญญาณจะ Drop ลงมา
ส่วนเครื่องอีกตัวหนึ่งคือ Wifi-walker ตัวนั้นจะสัญญาณที่นอกเมืองดีครับ
และในเมืองความเร็วจะสู้ EMOBILE ไม่ได้ครับ
ดังนั้นก่อนจองก็ลองดูนะครับว่าทริปที่เราจะไปเป็นแบบไหน
ว่าด้วยเรื่อง JR Pass
การเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นก่อนหน้านี้ 2 ครั้งผมเองไม่เคยใช้บริการ JR Pass เลย
เพราะส่วนใหญ่ผมจะเที่ยวอยู่ไม่กี่ภูมิภาค และข้ามภูมิภาคด้วย Night Bus เป็นส่วนใหญ่
แต่สำหรับครั้งนี้ผมเดินทางค่อนข้างเยอะ เพราะว่าไปลงที่ ฟุกุโอกะ
ผมจึงเลือกใช้บริการ JR West Pass Sanyo-San’in Area
เพราะ Pass ตัวนี้ครอบคลุมตั้งแต่สถานี Hakata ที่อยู่ที่ฟุกุโอกะยาวไปถึงโซนคันไซเลยครับ
(แต่ชินคันเซ็นนั่งได้ถึงแค่ชินโอซาก้า)
สำหรับผมแล้วครั้งนี้ค่อนข้างคุ้ม
เพราะแค่นั่งชินคันเซ็น 2 ขา จาก Hakata – Hiroshima – Shin Osaka ก็คุ้มแล้วครับ
สนนราคาถ้าจอง Online ล่วงหน้าราคาจะอยู่ที่ 19,000 เยน
แต่ถ้าไม่จองแล้วไปซื้อที่ญี่ปุ่นเลยราคาจะอยู่ที่ 20,000 เยนครับ
ซึ่งพอมีเจ้าบัตรใบนี้ผมก็สามารถเดินเข้าออกสถานีของ JR ได้อย่างสบายใจเลยครับ
ผมเลยแอบไปถ่ายรูปในสถานีเอาบรรยากาศแบบวุ่นวายๆนิดนึง
เพราะส่วนตัวผมว่าเสน่ห์ของญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง
คือฝูงชนจำนวนมากเดินกันขวักไขว่อยู่ในสถานีชินคันเซ็นนี่ล่ะครับ
จะได้เป็น “ข้ออ้างในการกลับมาอีกครั้ง”
ปีนี้ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ เอลนีโญ
ทำให้อากาศค่อนข้างเพี้ยนไปจากปกติ และไม่ใช่การเพี้ยนธรรมดา
กล่าวคือ ปีนี้เป็นปีที่อากาศหนาวที่ญี่ปุ่นมาเร็วกว่าปกติ
เร็วจนทำให้ใบไม้ในหลายภูมิภาคเริ่มเปลี่ยนสี..
เพื่อนผมที่อยู่ที่ญี่ปุ่นก็บอกว่าหลายภูมิภาคทางตอนบนเช่นฮอกไกโด โทโฮคุ
ล้วนแต่ใบไม้แดงเร็วขึ้นและส่งสีสันสวยงามแล้ว
และช่วงต้นพย. โซนจุบุและรอบๆฟูจิซังใบไม้แดงก็พีคเร็วกว่าปกติ
จนเริ่มมีต้นไม้บางส่วนที่ภูมิภาคคันไซเริ่มเปลี่ยนสีบ้างแล้ว
จนผมเริ่มหวั่นว่าแพลนที่แพลนไว้ว่า ว่าจะไปถึงภูมิภาคคันไซช่วงปลายเดือน
แล้วใบไม้แดงจะพีคสวยพอดีนั้น ผมจะไปไม่ทัน…
ผมจึงหั่นแพลนของผมในส่วนของฟุกุโอกะออก
เพื่อที่จะได้ไปถึงที่คันไซได้เร็วยิ่งขึ้น
ซึ่งก็โชคดีที่ผมจองห้องพักกับ expedia.co.th ในแบบ Free Cancellation
จึงทำให้ผมสามารถปรับโปรแกรมได้โดยไม่ยากนัก
แต่ทว่าปรากฎการณ์ เอลนีโญ ที่ว่ามันดันไม่ใช่แค่การทำให้หน้าหนาวมาเร็วกว่าปกติเท่านั้น
แต่มันกลับทำให้หน้าหนาวมาเร็วและไปเร็ว
คือหลังจากที่อุณหภูมิในญี่ปุ่นลดลงอย่างรวดเร็วแล้ว..
ที่ญี่ปุ่นกลับมีอุณหภูมิอุ่นขึ้นและเกิดฝนตกมากขึ้น
แทนที่จะเย็นต่ออย่างต่อเนื่องเหมือนทุกๆปี
ทำให้ต้นไม้หลายต้นเกิดอาการช็อคอากาศ
ต้นไม้หลายต้นแดงเร็วและร่วงไปก่อนจากอากาศหนาววูบแรก
แต่บางต้นที่เจออากาศอุ่นพัดมาพร้อมกับฝนนั้น
ใบไม้กลับไม่แดงอย่างที่ควรจะเป็น ใบกลับเหี่ยวและร่วงทั้งๆที่ยังเป็นสีเขียวอยู่
แต่ในความผิดเพี้ยนของธรรมชาติในปีนี้
ก็กลับทำให้หลายๆสถานที่กลับมีความสวยงามแบบเหลือเชื่อได้เหมือนกัน
การถ่ายภาพธรรมชาติก็เป็นเช่นนี้แหละครับ
เพราะธรรมชาติบางครั้งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะคาดเดาได้
แต่มันก็เป็นเสน่ห์ เสน่ห์ที่ทำให้ในแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละปี
ในการถ่ายภาพที่เดิมก็จะได้บรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมเสมอ…
และสิ่งนี้ก็จะเป็น
“ข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวอีกครั้ง“
มุ่งหน้าสู่ฮิโรชิม่าด้วยชินคันเซ็นพัก Hotel New Hiroden
หลังจากออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนเวลาประมาณ ตี 1
ด้วยสายการบินแห่งชาติ “การบินไทย”
ที่ถ้ามีโอกาสครั้งใด (มีโปรที่ราคาไม่แพงไปนักหรือไม่ก็แลกไมล์)
ผมเองก็มักใช้บริการเสมอเพราะผมเองค่อนข้างชื่นชอบในบริการที่ดีของสายการบินแห่งชาติ
ผมใช้เวลาเดินทางราว 5 ชม. ก็มาถึงสนามบินที่ฟุกุโอกะตอน 8 โมง
ตามเวลาท้องถิ่นที่เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชม.
จากนั้นผมก็นั่งรถ Shuttle Bus จากอาคารผู้โดยสารนานาชาติไปยังอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ
ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินเข้าไปตัวเมืองครับ
ซึ่งฟุกุโอกะเองถือเป็นเมืองที่เข้าเมืองง่ายมาก
เพราะสนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 2 สถานีรถไฟใต้ดินเท่านั้น
ที่สถานีฮากาตะผมก็ไปที่ออฟฟิสของ JR-West (จะเป็นคนละที่กับ JR Kyusho นะครับ)
เพื่อไปเปิด JR West Pass ที่ผมจองมาล่วงหน้าแล้ว
ข้อดีของ JR West Pass ที่เหนือจาก JR Pass ทั่วไป
คือสามารถนั่งชินคันเซ็นได้แบบไม่จำกัดขบวนในสาย Sanyo
และสามารถเลือกนั่งขบวนด่วนพิเศษอย่าง Nozomi ได้อย่างสบายอารมณ์
ต่างจาก JR Pass ทั่วไปที่จะนั่งได้แค่ขบวน Hikari Sakura และ Kodama เท่านั้น
ซึ่งแม้เวลาของขบวน Nozomi จะเร็วกว่าราว 10-20 นาที
แต่ขบวนส่วนมากของชินคันเซ็น (น่าจะซัก 50%) เป็นขบวนแบบ Nozomi
ทำให้การเดินทางของผมค่อนข้างสบายเลยครับ ไม่ต้องรอนาน
สำหรับชินคันเซ็นแล้ว
ผมเองเคยมีโอกาสนั่งตั้งแต่สมัยกว่า 20 ปีที่แล้ว
สมัยนั้นจำได้ว่านั่ง Series 0 ตอนนั่งจะมีป้ายโชว์ความเร็วตลอด
สมัยนั้นความเร็วเท่าที่ผมจำได้คือขึ้นไปสูงสุดแถวๆ 220 km/h
ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเร็วมากแบบว่าคนจะลุ้นกันว่าจะแตะความเร็วเกิน 200 เมื่อไหร่
แต่การกลับมานั่งชินคันเซ็นอีกครั้ง ครั้งนี้ผมนั่ง Series 700
ซึ่งเส้นที่ผมนั่งมีการใช้ความเร็วไปถึง 285 km/h เลย
ทำให้การเดินทางจากฮากาตะไปยังฮิโรชิม่าผมใช้เวลาเพียง 1 ชม.นิดๆเท่านั้นครับ
ที่ฮิโรชิม่าผมเลือกพักที่ Hotel New Hiroden
ที่อยู่ห่างจากสถานีฮิโรชิม่าเพียง 300 เมตรเท่านั้นครับ
สนนราคาต่อคืนอยู่ที่ราวๆ 3,500 บาท หรือตกคนละ 1,750 บาท
ราคานี้เป็นราคาเตียงแยกนะครับ ซึ่งถ้าจองเป็นเตียง Double จะอยู่ที่ราวๆ 1,500 บาท/คน/คืน
อีกทั้งช่วงที่ผมไปเป็นช่วงฤดูใบไม้แดงที่คนค่อนข้างเยอะ
ทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปด้วยครับ
ในช่วงเวลาอื่นราคาห้องจะถูกลงไปอีกคืนละ 1,000 บาทเลยทีเดียว
สำหรับราคาที่ผมจองอาจจะแพงเมื่อเทียบกับ Hostel ทั่วไป
แต่ด้วยความสะดวกที่สามารถลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟได้สบายๆแล้ว
สำหรับผมถือว่าคุ้มเลย
เพราะวันที่เช็คเอ้าท์ผมสามารถไปเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจ
แล้วค่อยมาลากกระเป๋าขึ้นรถไฟต่อไปได้เลย
สำหรับการจองโรงแรมกับ expedia.co.th ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือมีโปรแกรมสะสมคะแนน Expedia+
ที่ทุกการใช้จ่าย 20 บาทจะได้ 1 คะแนน Expedia+
ที่สามารถนำไปแลกเป็นส่วนลดการจองโรงแรมในครั้งถัดๆไปได้ครับ
ซึ่งข้อดีของคะแนนนี้คือสามารถสะสมได้จากทุกการใช้จ่ายในเว็บ
โดยเฉพาะการจองตั๋วเครื่องบินและรถเช่าจะทำให้เราได้คะแนนอย่างเป็นกอบเป็นกำ
และที่สำคัญคะแนนไม่มีหมดอายุด้วยครับ
ย้อนอดีตแห่งความขมขื่น เพื่อมุ่งสู่ดินแดนแห่งสันติภาพ “ฮิโรชิม่า”
เมืองฮิโรชิม่า… พูดถึงชื่อนี้หลายคนคงจะอ๋อ.. ขึ้นมาทันที
เพราะเป็นเมืองแรกของโลกที่โดนระเบิดนิวเคลียร์เล่นงาน
ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นการรู้จักฮิโรชิม่าที่คนฮิโรชิม่าเองไม่อยากจะจดจำซักเท่าไหร่..
เพราะจากวันนั้นจวบจนวันนี้ร่องรอยความเสียหาย ยังคงมีให้เห็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นอาคาร A-Bomb Dome ที่ยังคงตั้งตระหง่านเป็นอนุสาวรีย์แห่งความขมขื่นจนถึงทุกวันนี้
และที่สำคัญจิตใจของชาวฮิโรชิม่าที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างมากจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
คำถามที่เกิดขึ้นมากมายว่าทำไมต้องเป็น “ฮิโรชิม่า”
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายอย่าง บ่งบอกว่าที่ฮิโรชิม่าเป็นเมืองอุตสาหกรรม
ที่ยังไม่เคยโดนฝ่ายพันธมิตรถล่มมาก่อน
หรือให้พูดจริงๆคือก่อนหน้านั้นฮิโรชิม่าไม่ได้เป็นเมืองที่มีค่าพอที่จะไปถล่ม
และเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ไม่มีค่ายเชลยด้วยครับ
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นกำลังจนตรอก
เกิดหน่วยรบพิเศษ “คามิกาเซะ” ที่ทหารญี่ปุ่นยินดีจะตายไปพร้อมกับศัตรู
ทำให้ฝ่ายพันธมิตรเองในช่วงนั้นก็สูญเสียกำลังไปไม่น้อยจากสงคราม
เพื่อที่จะทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ เพื่อยุติสงคราม
มีทางเลือก 2 ทางคือส่งพลทหารราบบุกโตเกียว
แต่วิธีดังกล่าวจะทำให้สูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก
จึงมีการใช้ทางเลือกที่ 2 ที่จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์
เพื่อเป็นการขู่ให้ญี่ปุ่นยอมจำนน
ฮิโรชิม่าเมืองที่ไม่มีค่าทางการสงครามในสมัยนั้น
จึงกลายมาเป็นเป้า เพราะเป็นเมืองที่มีการป้องกันทางอากาศยานที่น้อย
ทำให้โอกาสที่จะสามารถทิ้งระเบิดสำเร็จสูงไป
จากหลายๆเหตุผลรวมกันทำให้
ฮิโรชิม่าจึงเป็นตัวเลือกในท้ายที่สุดในการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลกนั่นเอง…
เดินเลยมาจาก A-Bomb Dome ไม่ไกล
จะพบกับอนุสาวรีย์เหยื่อระเบิดปรมาณูรูปตัวยูกลับหัว
อนุสาวรีย์จะมีทรงคล้ายหลังคามุงหญ้ากัสโซ่แบบบ้านญี่ปุ่นโบราณ
ที่นี่เป็นสถานที่บรรจุรายชื่อเหยื่อผู้เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดปรมาณู
ในกล่องหินใต้หลังคาหินนี้มีข้อความจารึกไว้ว่า
“ขอจงหลับอย่างสงบ ความผิดพลาดนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก”
เป็นคำมั่นสัญญาว่าความเลวร้ายเยี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นกับชาวญี่ปุ่นอีก
จากอนุสาวรีย์นี้เมื่อมองตรงไปจะมีเพลิงที่ถูกจุดอยู่และมีฉากหลังเป็นอาคาร A-Bomb Dome
ซึ่งไฟดังกล่าวจะไม่มีวันดับลงตราบจนโลกนี้สงครามจะยุติลงนั่นเอง
ในทุกๆวันจะมีชาวเมืองแวะเวียนกันมาที่อนุสาวรีย์แห่งนี้
เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ฝั่งตรงข้ามจะมี พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพแห่งฮิโรชิม่า
ตั้งอยู่ภายในจะจัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่สอง และผลจากระเบิดนิวเคลียร์
ค่าเข้าชมอยู่ที่ 50 เยน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง
ชาวญี่ปุ่นยังคงได้รับความขมขื่นต่อเนื่องจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์มาอีกหลายปี
เพราะมีประชาชนจำนวนมากที่อาจไม่ได้เสียชีวิตในวันนั้น
แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จากผลข้างเคียงจากกัมมันตภาพรังสีต่อเนื่องมาอีกหลายปี
ชาวญี่ปุ่นจึงไม่ยุ่งกับสงครามอีกต่อไป
และกลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีสันติภาพมากที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
เดินช้อปปิ้ง Hondori Arcade แวะชิมโอโคโนมิยากิแบบฮิโรชิม่าสไตล์
ถ้าพูดว่าไปโอซาก้าต้องไปที่นัมบะแล้วล่ะก็ การมาฮิโรชิม่าก็ต้องมาที่ Hondori Arcade เช่นกัน
หลังจากทุลักทุเลในการถ่าย Twilight ท่ามกลางสายฝน
ผมก็เดินมาเรื่อยๆจนถึงย่านดาวน์ทาวน์ของฮิโรชิม่า
ที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งหลักของเมืองคือ Hondori Arcade นั่นเองครับ
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
ปรัชญาง่ายๆที่ผมยึดถือมาตลอดในการเดินทางออกทริปไปต่างประเทศ
โดยเฉพาะทริปถ่ายรูปที่ผมต้องแบกของหนักๆเดินทั้งวัน
ผมเองเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวอเมริกาเมื่อสมัยเกือบสิบปีที่แล้ว
ที่อาหารเป็นพิษจนทานอะไรไม่ได้ จนเย็นวันหนึ่งก็มีอาการคล้ายๆเดิม แต่มันหวิวมาก
จนตัวเย็นมือไม้สั่น เหมือนจะเป็นลม
ผมเองก็นึกว่าเกิดจากอาการอาหารเป็นพิษเหมือนเดิม
แต่หลังจากผ่านไปอีก 2-3 ชม. ผมแวะเข้า McDonald กินเบอร์เกอร์ไป
ปรากฏว่าอาการดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้งจ้าาาา
ผมเลยรู้ว่าจริงๆแล้วที่เราจะเป็นลมมันเกิดจากการไม่ได้กินข้าวมานานเพราะมัวแต่เที่ยวอยู่นั่นเอง..
ทริปหลังๆผมจึงพยายามหาอะไรรองท้องและกินข้าวตรงเวลามาโดยตลอด
วันนี้ก็เช่นกันหลังจากเดินอยู่ที่ Hondori Arcade ผมก็เดินต่อไปยังตึก Okonomi-mura
ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารแบบพิซซ่าญี่ปุ่นแบบท้องถิ่นกว่า 40 ร้านอยู่ที่นี่ครับ
โอโคโนมิยากิแบบฮิโรชิม่าจะแตกต่างจากที่อื่น
ที่เน้นการใช้แป้งในการทำแต่ที่ฮิโรชิม่าจะใช้ผักกาดขาวซอยจำนวนมากมาผสมกับแป้งบางกรอบแทน
ทำให้ผมเองที่เป็นคนไม่ชอบทานแป้งเท่าไหร่ชอบโอโคโนมิยากิแบบนี้มากครับ..
ใครมาฮิโรชิม่าพูดเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาดครับ
KintaiKyo ที่สุดแห่งสะพานโค้งที่ต้องห้ามพลาด
ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างสะพานที่สวยงาม
ภาพจากโปสเตอร์ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมักมีสะพานสวยๆจากหลากหลายแห่ง
แน่นอนว่าหนึ่งในสะพานที่ถูกนำไปใช้โปรโมทการท่องเที่ยวมากที่สุดคือ
สะพาน Kintai หรือ Kintai-Kyo นั่นเอง
Kintai-kyo อยู่ห่างจากตัวเมืองฮิโรชิม่าไปทางใต้ราวๆ 50 กม.
ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1-2 ชม. ซึ่งผมเองใช้ JR West pass อยู่แล้ว
จึงเลือกที่จะนั่งชินคันเซ็นไปที่สถานี Shin Iwakuni เลยซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
จากนั้นก็สามารถต่อรถไฟแล้วเดิน หรือใช้รถบัสไปยังสะพานได้เลยครับ
เช้าวันนี้ถือเป็นแสงแดดแรกที่ผมเห็นจากการเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้เลยครับ
Kintai-Kyo เป็นสะพานไม้โค้งที่ถูกสร้างมาหลายครั้ง
แต่การสร้างแต่ละครั้งมักจะถูกน้ำท่วมพัดสะพานพังไป
ในยุคแรกๆสะพานถูกสร้างจากไม้โดยไม่มีการใช้ตะปูใดๆแม้แต่ตัวเดียวเลย
สะพานในปัจจุบันนั้นเป็นสะพานที่ถูกสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในรูปแบบเดิมกับที่เคยเป็นในอดีต
สะพานนี้ถือเป็นสะพานสวยที่สุดหนึ่งในสามของญี่ปุ่นที่ต้องห้ามพลาดเลยครับ
ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นแล้วมันก็สวยงามมากๆจริงๆครับ
มิยาจิม่า เกาะศักสิทธิ์แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย
หลังจากเดินเล่นที่สะพานคินไตเป็นที่เรียบร้อย
ผมนั่งรถไฟ JR ย้อนกลับมาที่ Miyajimaguchi เพื่อข้ามเรือต่อไปยังเกาะมิยาจิม่า
ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวญี่ปุ่น
ซึ่งหากถามชาวญี่ปุ่นว่าที่เที่ยวใดเป็นสถานที่ที่อยากไปมากที่สุด
เกาะมิยาจิม่าคือหนึ่งในคำตอบอย่างแน่นอนครับ
พูดเพียงเท่านี้เราในฐานะชาวต่างชาติอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่า มิยาจิม่า คือที่ไหน
แต่ถ้าผมพูดว่าเสาโทริอิกลางทะเล และศาลเจ้าลอยน้ำ
แน่นอนว่าทุกคนจะต้องร้องอ๋อ! ขึ้นมาทันที
ใช่แล้วครับสถานที่ที่ว่านั้นก็อยู่บนเกาะมิยาจิม่านี่เองครับ
ศาลเจ้าอิสึคุชิมะ ศาลเจ้าชินโตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา
เพื่อบูชาลูกสาวทั้งสามคนของ สุซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ (Sosano-o no mikoto)
ซึ่งเป็นเทพแห่งพายุและท้องทะเล และบูชา เทพเจ้าหญิงแห่งดวงอาทิตย์ อามาเทราสุ (Amaterasu)
โดยสร้างตั้งแต่ราวกลางศตวรรษที่ 16
ในวันที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดนั้นระดับน้ำแทบจะสูงเท่ากับพื้นของศาลเจ้าเลยทีเดียว
เมื่อมองจากภายนอกจึงเหมือนศาลเจ้าแห่งนี้ลอยน้ำได้
ส่วนโทริอิสีแดงสดที่อยู่กลางทะเลนั้น
ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นประตูมิติเชื่อมสู่สรวงสวรค์
เกาะนี้ยังคงไม่ให้มีการเกิดและการตายมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1878
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ใกล้คลอดจะต้องย้ายออกไปจากเกาะมิยาจิม่า
ผู้สูงอายุมากๆและผู้ป่วย ก็ไม่อนุญาติให้อยู่บนเกาะ
และไม่ให้มีการเผาศพที่เกาะด้วยเพื่อคงความบริสุทธ์ของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
น่าเสียดายที่วันที่ผมไปถึงนั้นเป็นช่วงที่น้ำเริ่มลงแล้ว
อีกทั้งยังที่การซ่อมแซมตัวศาลเจ้า และแสงแดดที่งดงามเมื่อเช้าก็เริ่มหลบไปอยู่ในกลีบเมฆ
ทำให้ผมเองยังไม่สามารถถ่ายทอดความงามของสถานที่นี้ได้อย่างเต็มที่
แต่ก็นั่นล่ะครับมันเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยว
และเป็น “ข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวอีกครั้ง”
สำหรับอาหารการกินที่มิยาจิม่านั้นดังในเรื่องอาหารทะเล
เพราะเป็นอ่าวที่แม่น้ำหลายสายไหลลงมาบรรจบกัน
ทำให้บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก
ของเด็ดขึ้นชื่อที่สุดคือ “หอยนางรม” ราคาจะอยู่ราวๆ 2 ตัวยักษ์ 400 เยน
แต่ถ้าเป็นร้านอาหารอาจจะบวกเป็นราวๆ 450 เยน
ถือเป็นไอเทมลับที่ห้ามพลาดในการมาเยือนมิยาจิม่าเลยทีเดียว
จริงๆแล้วที่เกาะมิยาจิม่าสามารถขึ้นกระเช้าไปชมวิวบนยอดเขามิเซนได้
ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวสวยที่สุดหนึ่งในสามของญี่ปุ่น
แต่ด้วยสภาพอากาศผมจึงตัดสินใจไม่ขึ้นไป
รวมไปถึงใบไม้แดงที่ผมตั้งใจมาชมนั้นที่นี่ก็เริ่มร่วงโรยไปเยอะแล้ว
ผมจึงไปเดินเล่นที่ Momijidani Park แทนครับ
และแน่นอนที่นี่เองใบไม้แดงก็ร่วงหล่นมาบนพื้นไปหมดแล้วเช่นกัน
แต่ผมว่าใบไม้แดงที่เรียงรายตามพื้นมันก็สวยดีนะ…
วันนี้ผมไม่มีแพลนไปไหนแล้วเลยรอถ่ายภาพทไวไลท์
เสาโทริอิกลางทะเลที่ศาลเจ้าอิสึคุชิมะเลย
ระหว่างที่รอแสงพร้อมกับช่างภาพคนอื่นๆ
ก็ปรากฏเงาตะคุ่มๆมาข้างหลังพร้อมกับพลังงานอะไรบางอย่าง
แล้วก็มีเสียงกรี๊ดดดด!!! ดังขึ้น
กวางนั่นเอง
กวางที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่เป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้า
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเกาะมิยาจิม่าจึงมีกวางป่าจำนวนมากออกมาเดินเล่นรอบเมือง
กวางที่นี่แม้จะเชื่องแต่ก็ถือว่าเป็นสัตว์ป่า และหิวโหยตลอดเวลา
และมักจะแอบแวะมาหาของกินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวตลอด
สิ่งหนึ่งที่กวางชื่นชอบมากคือ “กระดาษ”
กระดาษ A4 สีขาวสวยๆนั่นล่ะครับ ไม่รู้ทำไมน้องกวางจึงชอบนักชอบหนา
และเมื่อน้องกวางได้งับไปแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้คืนเลยครับ
เพราะน้องกวางจะงับแน่นมากๆ..
คุณฝรั่งคนนี้ก็ต้องยอมยกโปรแกรมท่องเที่ยวที่ทำมาให้น้องกวางไป… 555
หลังจากเหตุการณ์น้องกวางผ่านไป ผมก็ตั้งป้อมรอถ่าย Twilight
น่าเสียดายที่วันนี้ช่วงพระอาทิตย์ตกเป็นช่วงน้ำลงพอดี
เลยทำให้ได้ภาพศาลเจ้าแบบไม่มีน้ำมาแทนครับ
Shukkeien Garden สวนญี่ปุ่นกลางกรุงฮิโรชิม่า
เมืองในญี่ปุ่นหลากหลายเมืองแม้จะเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน
แต่กลับมีสวนใหญ่ใจกลางเมืองที่เมื่อเดินเข้าไปแล้ว
เสมือนหนึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก กลับคืนสู่ใจกลางธรรมชาติ
Shukkeien ก็เป็นหนึ่งในสวนที่ว่านั้น
สวนสไตล์ญี่ปุ่นที่เงียบสงบแห่งนี้มีค่าเข้าเพียง 260 เยนเท่านั้น
เช้าวันที่สามที่ผมต้องเดินทางต่อไปยังคันไซในช่วงบ่าย
แต่ด้วยความที่ที่พักผมอยู่ติดสถานีฮิโรชิม่าผมจึงมีเวลามากพอที่จะออกไปเดินเล่นได้อีกครึ่งวันเต็มๆ
ที่ Shukkeien ถือเป็นอีกที่ที่มีมุมถ่ายใบไม้แดงสวยๆอยู่
แต่ด้วยสภาพอากาศที่ครื้มฟ้าครื้มฝนในช่วงเช้าก็ทำให้ผมค่อนข้างทำใจไว้แล้ว
ว่าถึงไปก็อาจจะไม่ได้ภาพอย่างที่อยากได้ซักเท่าไหร่
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ บวกกับสภาพอากาศที่ไม่ดีในปีนี้เข้าไปด้วย
ทำให้ ต้นไม้หลายต้นแดงแค่ครึ่งเดียว และเหี่ยวร่วงไปเลย
แต่การได้มาเดินสงบๆ ผ่อนคลายในวันแบบนี้ก็ดูไม่เลวร้ายซักเท่าไหร่
เพราะดีกว่านอนอยู่โรงแรมเป็นไหนๆ
เยี่ยมชมปราสาทฮิโรชิม่า
ถ้าบอกว่าการไปเที่ยวยุโรปจะต้องไปเที่ยววังแล้วล่ะก็
การเที่ยวญี่ปุ่นเราก็ต้องไปเที่ยวปราสาทเช่นกัน
แม้ว่าฮิโรชิม่าเองอาจจะไม่ได้ดังในเรื่องปราสาทซักเท่าไหร่
แต่ปราสาทแห่งนี้ก็ถือเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างมากว่า 500 ปี
น่าเสียดายที่ปราสาทดั้งเดิมนั้นถูกทำลายไปจากการโดนระเบิดนิวเคลียร์
แต่ปราสาทในปัจจุบันก็มีการสร้างขึ้นมาใหม่ให้คงสภาพภายนอกเหมือนเดิมมากที่สุด
ส่วนภายในปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของเมืองฮิโรชิม่าและปราสาท
และชั้นบนสุดสามารถชมวิวเมืองได้
มุ่งหน้าสู่คันไซ มหานครแห่งสีสันใบไม้ร่วง
ต่อจากฮิโรชิม่าผมก็มุ่งหน้าเข้าสู่ภูมิภาคที่สามของการเดินทางในครั้งนี้
คือภูมิภาคคันไซนั่นเอง ซึ่งที่นี่ถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ที่ผมตั้งใจมามากที่สุดเลย
เพราะภูมิภาคนี้นอกจากใบไม้แดงสวยๆแล้วยังมีวัดวาอารามเก่าๆมากมาย
ซึ่งเข้ากับการถ่ายคู่ใบไม้แดงเป็นอย่างมาก
ตอนแรกนั้นผมแพลนที่จะมาพักที่โอซาก้าที่เดียว 6 คืน
แต่หลังจากเปลี่ยนแพลนไม่ได้เที่ยวที่ฟุกุโอกะแล้ว
ผมกะว่าจะพักที่โอซาก้าเพิ่มเป็น 8 คืนไปเลย
แต่ทว่าโรงแรมเดิมที่ผมจองไว้ไม่ว่างใน 2 วันที่เพิ่มขึ้นมา
ผมเลยตัดสินใจว่าไหนๆก็ต้องเปลี่ยนที่พักอยู่แล้วจะพักเมืองไหนคงไม่ต่างกัน
ผมเลยเลือกที่จะไปพักที่เกียวโตแทน (เอาจริงๆเพราะว่าอยู่ๆก็มีห้องว่างโผล่ขึ้นมาด้วยล่ะครับ)
สรุปแล้วในภูมิภาคคันไซผมเลยได้พักอยู่ 2 โรงแรม
คือที่เกียวโต 2 คืนและโอซาก้า 6 คืนครับ
สำหรับที่เกียวโตผมพักที่ Station Ryokan Seiki
ซึ่งเดินจากสถานีรถไฟเกียวโตราวๆ 700 เมตรครับ
ก็ถือว่าสะดวกพอสมควรเลยครับราคาก็ถือว่าค่อนข้างสูงเล็กน้อย
แต่เทียบกับทำเลและการจองในช่วงเวลาที่ค่อนข้างใกล้วันเดินทาง
(ผมเปลี่ยนแพลนก่อนวันเดินทางจริงแค่ 1 อาทิตย์)
ก็ถือว่าราคาพอรับได้อยู่ครับ
ซึ่งดูจากเครื่องนอนที่คุณลุงเจ้าของเตรียมไว้ให้
ห้องผมสามารถนอนได้ถึง 4 คนเลยครับซึ่งถ้า 4 คนราคานี้ถือว่าถูกมาก
ส่วนที่พักที่โอซาก้าด้วยความที่ตอนแรกผมแพลนว่าจะใช้ชินคันเซ็นไปกลับ โกเบ และเกียวโต
ผมเลยจองที่พักใกล้ๆกับสถานีชินโอซาก้าที่ Hotel Beni Higashimikuni
แต่มารู้ทีหลังว่า JR West ตัวที่ผมซื้อไม่สามารถใช้ในเส้น Shin Osaka – Kyoto ได้
เพราะเส้นนั้นถือว่าเป็นเส้น Tokaido ไม่ใช่เส้น Sanyo
โรงแรมที่ผมจองมาเป็นโรงแรมที่ใช้ได้ครับ
แต่ตอนแรกก็แอบงงว่าโรงแรมที่ผมจองทำไมต้องมีคำว่า Adult Only
ก็มาเฉลยตอนมาถึงว่าโรงแรมนี้เป็น Love Hotel นั่นเอง
แต่ก็ถือว่าเป็นโรงแรมที่ห้องหับใหญ่โตน่าดูเลยครับ แถมมีอาหารเช้าให้ด้วย
และใกล้กับซูเปอร์มาร์เกตเรียกว่าประหยัดค่ากินได้เยอะครับ
ความลับหลังเหรียญ 10 เยน
เงินตราประเทศต่างๆ..
ล้วนแล้วแต่มีภาพของบุคคลสำคัญ สัญลักษณ์ วิวทิวทัศน์ ของประเทศนั้นๆ
ญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน
นอกจากภาพภูเขาไฟฟูจิจากทะเลสาปโมโตสึหลังแบ๊งค์ 1,000 เยน
แล้วเพื่อนๆทราบมั๊ยครับ หลังเหรียญ 10 เยนมีภาพอะไรอยู่
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผมไปตลอด 2 ครั้งที่ผ่านมาในการมาเยือนประเทศญี่ปุ่น
แต่ครั้งแรกพลาดไปเพราะว่าที่นี่ซ่อม ซ่อมแบบปิดไม่เห็นอะไรเลย
จนได้ไปมาเมื่อต้นปีก็พบว่าที่นี่สวยงามมาก สมแล้วที่ไปปรากฏอยู่ที่หลังเหรียญ 10 เยน
ที่นี่คือ “วัดเบียวโดอิน” นั้นเองครับ
วัดเบียวโดอิน ตั้งอยู่ที่เมืองอุจิอยู่ทางใต้ของเกียวโต
วัดแห่งนี้ว่ากันว่าตัวอาคารถูกสร้างเลียนแบบวังแห่งพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรรค์
ที่มีรูปทรงเป็นดั่งนกฟีนิกซ์ที่กำลังสยายปีกอยู่
ตัวอาคารหลังนี้เองก็มีชื่อว่า Pheonix hall เช่นกัน
วัดนี้เองก็เป็นแหล่งชมใบไม้แดงชั้นดีของย่านคันไซ
วันที่ไปผมก็ลุ้นน่าดูครับว่าที่วัดใบไม้จะแดงแล้วหรือยัง
ซึ่งระหว่างทางเดินเข้าวัดผมก็พบว่าสวนโดยรอบต้นไม้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วกว่า 60-70%
แต่ช่างน่าเสียดายเมื่อเดินมาถึงมุมที่ผมตั้งใจอยากจะมาถ่ายรูป
ปรากฏว่าต้นไม้ 2 ต้นที่ผมอยากเอามาเป็นกรอบในการถ่ายภาพวัดแห่งนี้ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง
ซ้ำร้ายกว่านั้นเมื่อมองดีๆที่ด้านบน
ต้นไม้ 2 ต้นดังกล่าวเริ่มมีใบที่ยังคงสีเขียวชอุ่มนั้นเริ่มเน่าแล้ว
นั่นแปลว่าในปีนี้ต้นไม้ 2 ต้นนี้คงยากที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง…
คำว่า “ข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวอีกครั้ง” ก็ลอยมาวนเวียนในหัวผมอีกครั้ง
และวัดเบียวโดอินของผมคงได้มีครั้งที่ 4 เป็นแน่แท้…
เกียวโต.. ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และกาลเวลา กับเควสค้นหาใบไม้แดง
จริงๆแล้วก่อนผมมา
ได้มีเพื่อนของผมเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อเก็บใบไม้แดงในโปรเจ็คเดียวกันแล้ว 3 คน
ในภูมิภาคอื่นๆที่ใบไม้แดงไปก่อน
ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปว่าปีนี้หนาวเร็วภูมิภาคต่างๆเหล่านั้น
ได้รับลมหนาวเร็วกว่าปกติทำให้เป็นปีที่ ภูมิภาคฮอกไกโด โทโฮคุ และจูบุตอนบน
ล้วนแล้วแต่เป็นปีที่ใบไม้พร้อมใจกันแดงสวยงามมากๆ
กลับกันในช่วงเวลาที่ผมมาก็มีเพื่อนร่วมโปรเจ็คอีก 2 ท่าน
เดินทางมาล่าใบไม้แดงในโซนคันโต และโซนคิวชู ทุกคนล้วนแล้วแต่เจอสภาพเดียวกัน
สภาพที่ใบไม้แดงบ้างไม่แดงบ้าง เขียวบ้าง ร่วงไปแล้วบ้าง…
ทุกคนล้วนปฏิบัตภารกิจประหนึ่งถ่ายทำรายการ โกโกริโกะ ในตอน “ตามล่าหาใบไม้แดง”
ซึ่งที่เกียวโตก็เป็นจุดที่ผมพร้อมแล้ว ที่จะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ด้วยเงิน 0 เยน …. !?
อ้าว เอ๊ะ… ไม่ใช่ซิ 555555!
เกียวโตนั้นได้ชื่อว่าเป็นเสมือนเมืองหลวงของใบไม้แดง
ด้วยวัดที่มีมาก แต่ละวัดล้วนมีการตกแต่งสวนภายในด้วยต้นเมเปิ้ลเสียเป็นส่วนใหญ่
จึงทำให้เกียวโตเป็นมหานครแดงเดือดที่นักท่องเที่ยวทุกคนล้วนใฝ่ฝันทั้งสิ้น
วัดเงิน… Ginkakuji
ที่แรกของเควสตามล่าใบไม้แดงที่ผมไปคือ วัดเงินครับ
เป็นวัดที่ผมตั้งใจจะไปมาทั้งสองครั้งในการมาเกียวโต
แต่ก็ยังไม่เคยได้มาซักทีครับ ครั้งนี้ผมเลยจัดเอาเป็นที่แรกเลย จะได้ไม่ลืม 5555
วัดนี้อยู่ทางโซนตะวันออกของเมืองเกียวโตครับนั่งรถจากสถานีเกียวโตไม่นานก็ถึงครับ…
วัดนี้เป็นเสมือนวันคู่แฝดของวัดทอง เพราะผู้สร้างคือโชกุนอาชิคากะ โยชิมาสะ
ซึ่งเป็นหลานของผู้ที่สร้างวัดทองนั่นเอง
สำหรับในปีที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยนั้น ผมก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง
เพราะมันทำให้ต้นเมเปิ้ลที่อยู่หน้าวัดเงินนั้นเปลี่ยนสีแบบมีครบทุกสีในต้นเดียว
ทำให้ผมได้ภาพแบบพีคๆกลับมาบ้างครับ
แต่สำหรับมุมอื่นแล้ววัดนี้ถือว่าไม่พีคเท่าไหร่ครับ
อย่างภาพมุมสูงที่ควรจะมีกรอบใบไม้สีแดงสด ปีนี้กลับเป็นสีเขียวและสีน้ำตาลตุ่นๆของใบไม้ที่เน่าแล้วแทน
ผมจึงต้องตัดกิ่งไม้พวกนั้นออกจากรูปไป
วัดเอนโคจิ (Enko-ji)
เควสที่ 2 ผมมุ่งหน้าไปที่วัด Enkoji วัดนิกายรินไซเซนที่อยู่โซนตะวันออกของกียวโตเช่นกัน
จุดเด่นของที่นี่คือมีระเบียงสำหรับนั่งชมใบไม้แดงสวยงามมากๆ
แต่วันที่ผมไปตรงกับวันเสาร์ที่เป็น Long Weekend ของญี่ปุ่นคนมหาศาลเลยจ้าาาา
และด้วยความที่วัดอยู่ค่อนไปทางตอนบนของเกียวโตทำให้ใบไม้แดงร่วงไปแล้วค่อนข้างมากครับ
ผมจึงเปลี่ยนใจจากการตามล่าถ่ายรูป
มานั่งชมใบไม้แดงจากระเบียงแห่งนี้เฉกเช่นชาวญี่ปุ่นท่านอื่นๆแทน
วัดไดโกะจิ (Daigo-ji)
เควสที่สามของการล่าใบไม้แดงผมมุ่งตรงมาที่วัดไดโกะจิ
วัดนี้อยู่ทางตอนใต้ของเกียวโตที่เมืองไดโกะ
ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยครับ
ความงามที่ดึงดูดให้ผมมาเยือนที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้วคือเจดีย์สีแดงที่อยู่ท่ามกลางดงใบไม้แดงนี่แหละครับ
แต่ก็เช่นเดียวกับหลายๆวัดที่ใบไม้แดงปีนี้ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่
แต่ขนาดไม่ค่อยเป็นใจเท่าที่ผมเห็นก็ถือว่าปลื้มปริ่มมากๆล่ะครับ
และที่นี่เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีการจัดแสดง Light up ในช่วงกลางคืนด้วยครับผมเลยอยู่รอปิดวันที่นี่ล่ะครับ
วัดทอง Kinkakuji
ถ้าบอกว่าไปเที่ยวอยุธยาแล้วห้ามพลาดการไปวัดมหาธาตุแล้วล่ะก็
การมาเกียวโตก็ห้ามพลาดการมาวัดทองเช่นกัน
วัดทองวัดที่จริงๆผมได้ภาพสวยๆตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเที่ยวแล้ว
แต่ผมยังคงแวะเวียนกลับมาที่นี่ทุกครั้ง
เมื่อต้นปีผมพยายามที่จะมาเก็บภาพวัดทองกับหิมะก็พลาดไป
เพราะหิมะละลายไปก่อนที่ผมจะเดินทางไปถึง
รอบนี้ผมก็อยากที่จะมาเก็บภาพวัดทองคู่กับใบไม้แดงบ้าง
โดยที่ก่อนไปก็ค่อนข้างทำใจแล้วว่าคนจะเยอะแน่นอนเพราะเป็นวันอาทิตย์
ซึ่งก็ไม่ได้ผิดคาดเลยครับ… คนมากมายมหาศาลสุดๆ
แต่ก็ยังดีที่ว่าที่วัดทองมุมที่ถ่ายรูปมีรั้วกั้นเอาไว้
ผมก็ค่อยๆรอต่อคิวไปเรื่อยๆก็ยังพอที่จะได้ภาพมาบ้างครับ
วัดน้ำใส (Kiyomizudera)
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าที่ผ่านมาสองครั้งที่ผมมาเกียวโต ผมเองยังไม่เคยเดินทางมาเที่ยววัดน้ำใสแห่งนี้เลย
เพราะทั้งสองครั้งที่คิดจะมาล้วนแล้วแต่มีการซ่อมแซมใหญ่ทั้งสิ้น
ซึ่งในครั้งที่สามนี้แม้ตัววัดจะยังคงซ่อมแซมอยู่ แต่ก็ไม่มีเครนมารกหูรกตาแล้ว
ผมเลยต้องมาที่นี่ซักครั้งหนึ่ง ที่วัดน้ำใสนั้น
ผมเองเก็บโปรแกรมเอาไว้วันท้ายๆของการเที่ยวในภูมิภาคคันไซเลยครับ
เพราะวันแรกที่ผมเดินทางผมถึงแล้วไปถ่ายภาพ Light up นั้นพบว่าใบไม้ยังแดงไม่เต็มที่เท่าไหร่
เลยทิ้งเวลาต่อมาอีก 1 อาทิตย์แล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง
ซึ่งถามว่ามันแดงมากขึ้นมั๊ยก็ตอบว่ามากขึ้น
แต่ก็ยังไม่แดงเท่าที่อยากได้ซักเท่าไหร่
แต่เพียงเท่านี้กับแสงช่วงพระอาทิตย์ตกผมก็ฟินแล้วล่ะครับ
Light up แสงที่ยิงมาพอจะทำให้ใบไม้ดูเป็นสีเหลืองๆแดงๆได้อยู่ 5555
Eikando zenrin ji temple
สำหรับวัดสุดท้ายในในเกียวโตที่ผมได้มีโอกาสไปเก็บภาพใบไม้แดงในปีนี้คือ
วัด Eikando zenrin ji temple
หนึ่งในวัดที่ต้องห้ามพลาด แต่ผมกลับไม่เคยได้ยินชื่อวัดนี้มาก่อน 5555
แต่มีคนแนะนำว่าสำหรับการไปถ่ายใบไม้แดงที่เกียวโตวัดนี้เป็น Top 3 เลยทีเดียว
ค่าเข้า 1,000 เยนแพงหูฉี่ เป็นตัวการันตีว่าที่นี่ต้องเด็ดจริงไม่งั้นคงไม่กล้าตั้งราคาตั๋วแพงขนาดนี้เป็นแน่
ภายในวัดนี้ค่อนข้างกว้างขวางแต่มุมถ่ายรูปใบไม้แดงคู่วัดเด็ดๆเอาจริงมีไม่มากครับ
แต่สิ่งที่เด็ดขาดที่สุดคือสถาปัตกรรมภายในของวัดที่ดูยิ่งใหญ่ อลังกาล และหรูหรามากจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่วัดไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในได้
ผมเลยไม่สามารถเอาความสวยงามที่ว่ามาฝากเพื่อนๆได้ครับ
แต่พูดเลยว่า 1,000 เยนนี่คุ้มค่าสุดๆครับ
สำหรับคนที่อยากมาชมใบไม้แดงที่นี่พูดเลยว่าเด็ดขาดมากครับ..
ตอนที่ผมไปผมเห็นวัดมีการปลูกต้นเมเปิ้ลเพิ่มเติมอีกเยอะเลยครับ
รับรองได้ว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าวัดนี้แดงเดือดแน่นอนครับ
สำหรับผมแล้วก็ถือเป็นการปิดเควสการล่าใบไม้แดงในเกียวโตที่น่าประทับใจอยู่ไม่น้อยเลยครับ
สำหรับเกียวโตแล้วถือเป็นเมืองเก่าที่มีความสวยงามมากเมืองหนึ่งมีวัดวาอารามสวยๆมากมาย
ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วเมื่อใบไม้พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดง
มันทำให้ทั้งเมืองมีชีวิตมีสีสันเป็นอย่างมากเลยครับ
แม้ปีนี้ปีที่อากาศไม่เป็นใจซักเท่าไหร่ แต่ผมเองก็ตกหลุมรักฤดูกาลแห่งสีสันนี้เข้าเต็มเปา…
และแน่นอนการที่อากาศไม่เป็นใจแบบนี้
มันจะเป็น “ข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวเกียวโตในฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้ง” อย่างแน่นอน
อาราชิยาม่ากับป่าไผ่ในตำนาน ปลายทางแห่งความโรแมนติค
ภาพคนพายเรือในลำธารที่มีใบไม้แดงเป็นฉากหน้า ภาพป่าไผ่ที่สวยงามมีแสงส่องลงมา
ภาพภูเขาที่เป็นสีแดงทั้งลูกและมีรถไฟวิ่งผ่าน
ภาพที่สวยงามเหล่านี้ที่เรามักเห็นในแม็กกาซีนท่องเที่ยวญี่ปุ่น ภาพต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆแห่งนี้
“อาราชิยาม่า”
อาราชิยาม่าอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกียวโต
เดินทางสะดวกสบายนั่งรถไฟเพียง 10-15 นาทีก็ถึง
ด้วยเมืองที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้เปลี่ยนสี
จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาที่นี่
ผมพยายามไปที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่แต่ด้วยการที่พักอยู่ที่โอซาก้า
เลยทำให้กว่าจะเดินทางไปถึงก็ร่วมๆ 8 โมงเช้าแล้วครับ
ซึ่งเวลาขนาดนั้นถึงจะเป็นเวลาที่ไปถึงก่อนนักท่องเที่ยวทั่วไป
แต่สำหรับช่างภาพแล้วอาจจะเป็นเวลาที่สายไปซักนิด
เพราะเมื่อผมไปถึงผมก็เห็นช่างภาพจำนวนมากถึงที่นี่ก่อนแล้วเพื่อรอถ่ายภาพป่าไผ่กัน
ผมจึงค่อยๆเดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
หลังจากเดินเล่นที่ป่าไผ่ซักพักผมก็เข้าไปเดินเล่นในวัด Tenryū-ji
ซึ่งอยู่ติดกับป่าไผ่เลยครับที่วัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน
ถือเป็นอีกวัดหนึ่งที่คนนิยมมาเที่ยวกันครับ
หลังออกจากวัดผมก็ไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำโฮสึ
ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมานั่งเรือชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี ที่เปลี่ยนแบบทั้งเขากันครับ..
แต่ก็น่าเสียดายที่ปีนี้สีใบไม้กลับไม่มาตามนัดเท่าไหร่
ผมลองจินตนาการตามว่าถ้าลงไปนั่งเรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในปีที่อากาศดีๆ
มันคงเป็นอะไรที่โรแมนติค มากแน่นอน
สำหรับผมแม้มุมการบ้านที่ตั้งใจจะมาถ่ายอาจจะไม่เป็นไปดังหวัง
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะการที่ไปถ่ายอะไรใหม่ๆ แบบไม่ต้องลอกการบ้าน
ผมว่ามันก็รู้สึกสนุกเหมือนย้อนกลับไปในสมัยหัดถ่ายรูปใหม่ๆดีเหมือนกัน
ผมเดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยจนบ่าย ก็คุยกับเพื่อนที่ไปด้วยกันว่า
กลับไปเกียวโตตอนนี้ก็คงไปถ่ายรูปอะไรไม่ทันแล้ว
งั้นเราอยู่รอถ่ายป่าไผ่แบบคนโล่งๆช่วงเย็นกันมั๊ย
เพราะตั้งแต่ราว 9 โมงมาที่ป่าไผ่คนก็เยอะมาโดยตลอด เยอะแบบแทบจะไม่มีทางเดินเลยด้วยซ้ำ
คิดได้ดังนั้นแล้วพวกผมก็เลยไปที่ป่าไผ่อีกจุดหนึ่งที่คนน้อยกว่า และรอจนเย็นจนเค้าเปิดไฟทางเดิน
แล้วก็ถ่ายรูปมาก็เป็นการปิดวันแบบฟินๆไปอีกหนึ่งวันครับ
สโลว์ไลฟ์อินนารา
บ่อยครั้งที่คนเรามักผิดหวังจากการคาดหวังที่มากเกินไป
แต่ก็เช่นกันหลายๆครั้งคนเรามักประทับใจเพราะการไม่คาดหวังอะไรไว้ล่วงหน้า
นารา ที่ผมไปก็เป็นเช่นนั้นล่ะครับ
นาราเมืองเล็กๆทางตอนใต้ของคันไซ เป็นอีกเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น
ที่คงความสวยงามไว้ แม้อาจจะไม่ได้เป็นตัวเลือกหลักๆในการเดินทางมาเที่ยวที่คันไซก็ตาม
แต่หากใครได้ลงมาสัมผัสแล้ว เมืองแห่งนี้กลับเป็นเมืองที่สวยงามและสามารถเดินเล่นได้อย่างไม่เบื่อเลยทีเดียวครับ
ในวันที่ผมมาเที่ยว นารา นั้นเป็นวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก
เลยทำให้ผมเองไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับการได้เดินเล่นถ่ายรูปในวันนี้
ผมเลยถือโอกาสพักผ่อนหลังจากที่ออกทริปหนักๆมาหลายวัน โดยออกจากโอซาก้าราวๆ 11 โมง
ไปถึงที่นาราราวๆเที่ยง ซึ่งช่วงนั้นฝนยังคงปรอยๆอยู่
นาราเองจริงๆก็มีที่เที่ยวหลากหลายที่ แต่ด้วยความที่ฝนตก
ผมจึงแพลนไปเดินเล่นแค่วัดโทไดจิ และ Nara Park ที่อยู่ข้างๆวัดนั้นเท่านั้น
จากสถานีรถไฟจะเดินไปราวๆ 2 กม.
ระหว่างเดินไปสิ่งหนึ่งที่มักจะเป็นเงาตามตัวผมตลอดคือ น้องกวาง
เพราะที่นาราเองก็ถือเป็นเมืองเก่าแก่ และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเกาะมิยาจิม่า
ที่ถือว่ากวางเป็น สัตว์ที่รับส่งสาส์นจากเทพเจ้าเช่นเดียวกัน
แต่กวางที่นี่จะมีมารยาทดีนะครับ เวลาจะมาขออะไรเรากิน
เค้าจะเดินมาใกล้ๆ แล้วก้มหัว แบบเดียวกับที่ชาวญี่ปุ่นขอบคุณลูกค้าเวลาซื้อของเลยครับ
เดินชิวๆไม่นานผมก็มาถึง Nara Park สวนสาธารณะใหญ่ที่อยู่ติดกับวัดโทไดจิ สวนที่นี่กว้างมาก
และที่สำคัญใบไม้แดงยังเหลือเพียบ และส่วนมากจะแดงสวยด้วย ไม่ใช่แดงแบบช้ำๆ เน่าๆ เหมือนหลายที่ที่ผมเจอมา
ผมเลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ มือนึงถือกล้อง มือนึงก็ถือร่มไป ถึงจะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่กลับรู้สึกสนุก และฟินมากๆครับ
ระหว่างเดินก็แอบเห็นคู่รักหลายคู่มาเดินจูงมือกันกระหนุงกระหนิง
บางคู่ก็มาถ่ายรูปแต่งงานกันซึ่งก็มีหลายคู่เลย
หลังจากการไปได้พูดคุยด้วยแล้วก็พบว่าเป็นชาวจีนที่ลงทุนหอบเสื้อผ้าเพื่อมาถ่ายภาพ Pre-Wedding ที่นี่ก็เลยทีเดียว
หลังจากเดินเล่นที่สวนอยู่พักใหญ่ผมก็เดินต่อไปที่วัดโทไดจิ
ซึ่งเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาในสมัยที่นารายังคงเป็นเมืองหลวงในยุคกว่า 1260 ปีที่แล้ว
ภายในแม้ว่าจะไม่ได้ดูหรูหรา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก
ว่ากันว่าในสมัยก่อนตัวอาคารดั้งเดิมก่อนการบูรณะ ใหญ่กว่านี้เกือบ 2 เท่า
ผมก็คิดกลับไปว่าสมัยก่อนที่เทคโนโลยียังไม่ดีเท่าทุกวันนี้เค้าสร้างวัดใหญ่ขนาดนี้กันมาได้อย่างไร
สำหรับนาราแล้ว ด้วยอากาศที่ไม่เป็นใจ ด้วยความที่ไม่ได้คาดหวังตั้งแต่แรก ทำให้ผมมาเที่ยวที่นี่แบบชิวๆ แต่ผมกลับพบว่า นาราเป็นเมืองที่น่ารัก ยังคงความเป็นอดีตไว้ได้อย่างดี แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเยอะ แต่พื้นที่กลับเยอะกว่าและดูไม่หนาแน่นเท่าเกียวโต
เพียงแค่เดินออกมาจากสถานีรถไฟไม่ไกล
ผมก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไร โลกที่ค่อยๆเดินอย่างเนิบช้า
แต่กลับเป็นโลกที่มีความสุขที่สุด
โอซาก้า.. จุดตัดแห่งอดีตและปัจจุบัน
สำหรับเมืองสุดท้ายในคันไซที่ผมอยู่คือโอซาก้าครับ
ตอนแรกผมตั้งใจว่าอยากจะไปที่สวนมิโนะ แต่หลังจากดูภาพจากเพื่อนๆที่ไปก่อนผมแล้ว
พบว่าที่มิโนะนั้นใบไม้เขียวชอุ่มมากๆครับ
รวมไปถึงโกเบอีกหนึ่งเมืองที่ตอนแรกผมตั้งใจจะไปขึ้นกระเช้าเพื่อชมภูเขาใบไม้แดง
แต่จากสถานกาณ์ในปีนี้แล้วผมจึงปรับแผนและเลือกที่จะเดินเล่นในโอซาก้าแทนครับ
แม้ว่าโอซาก้าอาจจะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางในการมาชมใบไม้แดง
แต่โอซาก้ากลับเป็นเมืองที่สะดวกที่สุดในการมาพัก
เพราะเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางในการต่อรถไฟไปยังเมืองข้างๆในระยะเวลาไม่เกินครึ่งชม.
ไม่ว่าจะเป็น เกียวโต นารา โกเบ หรือวากายาม่า
ด้วยความสะดวกและเป็นจุดศูนย์กลางแบบนี้โอซาก้าจึงกลายเป็นมหานคร
และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ไปโดยปริยาย
แต่ท่ามกลางมหานครที่ยิ่งใหญ่ แต่มหานครแห่งนี้ก็ไม่ได้มีแต่ตึกเพียงอย่างเดียว
แต่ยังคงมีสิ่งที่บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
นั่นคือ “ปราสาทโอซาก้า”
ในยามค่ำคืนนั้น ปราสาทโอซาก้าเองก็ส่องแสงเรืองรองสวยงามโดดเด่น
แต่กลมกลืนกับตึกในสมัยใหม่อย่างลงตัว
โอบาระ ความต่างที่งามอย่างลงตัว
การมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้น หลายคนคงนึกถึงการมาเที่ยวซากุระในฤดูใบไม้ผลิ
และการมาเที่ยวใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วง สองฤดูที่งามอย่างแตกต่าง
และหลายคนอาจจะเคยคิดไปว่า ถ้าทั้งซากุระ และ ใบไม้แดงมาอยู่ด้วยกันแล้วจะเป็นอย่างไร
คำตอบของคำถามนี้มีอยู่ที่นี่ “โอบาระ”
ที่โอบาระมีการปลูกซากุระพันธุ์ Shikizakura ซึ่งเป็นซากุระพันธุ์พิเศษกว่าพันธุ์อื่นๆ
เพราะซากุระนี้จะบานปีละ 2 ครั้ง ซึ่งการบานครั้งที่สองของปีนั้น
จะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ตรงกับช่วงใบไม้แดงของญี่ปุ่นพอดี
ความแตกต่างที่ลงตัวของใบไม้แดงและซากุระจึงบังเกิดขึ้นที่โอบาระแห่งนี้นี่เอง
จริงๆแล้วผมเองตัดใจจาก โอบาระ ไปแล้วเมื่อมาถึงที่ญี่ปุ่น
และได้ยกเลิกห้องพักที่ผมจองแต่ตั้งแต่ทีแรกไปแล้ว
เพราะเพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นกูรูญี่ปุ่น ได้ไปที่นี่ในช่วงกลางเดือน
และพบว่าซากุระที่นี่เลยจุดพีคไปแล้ว และเริ่มร่วงแล้ว ณ วันนั้นคือวันที่ 15
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วซากุระจะร่วงหมดหลังจากพีคประมาณ 1 อาทิตย์
ผมที่แพลนจะไปที่นี่ในช่วงปลายเดือน จึงได้แต่ทำใจและยกเลิกทริปไป
แต่ในช่วงที่ผมอยู่ที่โอซาก้านั้นมีคนพึ่งไปโอบาระมาในวันที่ 22
และโพสรูปให้ดูว่าซากุระที่นี่ยังบานอยู่ และในวันที่ 24 มีพยากรณ์มาว่าที่โอบาระท้องฟ้าจะสดใส
ผมเลยเปลี่ยนแผนทันใด ยอมทิ้งห้องที่โอซาก้า 1 คืน
เพื่อนั่งชินคันเซ็นไปยังนาโกย่า และเดินทางไปยังโอบาระในวันที่ 24
ซึ่งตอนแรกสองจิตสองใจมากเพราะผมเปิด JR West มาเท่านั้น
การจะนั่งชินคันเซ็นไปกลับนาโกย่า ราคาก็ไม่ถูกเลย (13,500 เยน)
แต่สุดท้ายความงามที่ผมอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองก็ชนะความงกของผม
ผมจึงตัดสินใจที่จะไป
การเที่ยวที่โอบาระนั่นจริงๆแล้วควรเช่ารถขับ
เพราะรถบัสที่มีค่อนข้างน้อย มีรอบทุก 2 ชม. เรียกว่าพลาดรอบนึงก็รอบกันยาวเลย
ผมเองก็พลาดรถบัสรอบ 8 โมงทำให้ต้องนั่งบัสรอบ 10 โมง
ทำให้ผมเองไปถึงโอบาระราวๆเที่ยงเลยทีเดียว
ระหว่างทางผมก็ลุ้นไปว่าไปถึงที่แล้วซากุระจะยังเหลือมั๊ย
เพราะต้นซากุระระหว่างทางไปนั้นล้วนแล้วแต่ดอกร่วงกันหมดแล้ว
แต่พอไปถึงที่สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ผมยิ้มได้เพราะมันสวยงามจริงๆครับ
สีชมพูของดอกซากุระ ตัดกับสีแดงของใบไม้แดง และมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีฟ้าคราม
แม้บางจุดซากุระอาจจะร่วงไปบ้างแล้ว แต่สำหรับครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นความงามที่ลงตัวแบบนี้
ก็สร้างความประทับใจให้ผมไม่น้อยเลยครับ
นอกจากความงามที่โอบาระแล้ว
การมาที่เมืองนาโกย่ายังมีอีกหนึ่งที่ที่น่าสนใจคือ Nabana no sato
ในช่วงหน้าหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิของทุกปีที่แห่งนี้จะมีการจัดไฟในสวนที่สวยงามมากๆครับ
ภาพอุโมงค์ไฟที่สวยงาม ที่เพื่อนๆอาจจะเคยได้เห็นมาก่อนก็มาจากที่นี่ นี่เองครับ
การเดินทางไป Nabana no Sato นั้นก็ไม่ยากอะไร
นั่งรถไฟจากตัวเมืองนาโกย่าไปเพียง 30 นาทีและต่อรถบัสอีก 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ
ค่าเข้าชม 2,100 เยนที่สามารถนำเงิน 1,000 ไปซื้ออาหารให้ในสวนได้
ถือว่าคุ้มค่ามากๆ
จริงๆแล้วการมาเที่ยวที่โอบาระและ Nabana no sato นั้น
หากเพื่อนๆเปิด JR-Pass ไว้จริงๆสามารถเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้เลยนะครับ
โดยอาจจะออกจากคันไซซัก 6 โมงเช้าเพื่อมาให้ทันบัสรอบ 8 โมง
จากนั้นเที่ยวที่โอบาระถึง 3 โมงเย็นแล้วก็ต่อไปที่ Nabano sato ราวๆ 1 ทุ่ม
แล้วก็นั่งรถไฟกลับซักรอบ 4-5 ทุ่ม แต่ก็อาจจะเหนื่อยซักหน่อยครับ
แต่ถ้าถามผมว่ามันคุ้มมั๊ย ผมพูดเลยว่าคุ้มมากๆครับ
หมุนรอบฟูจิซัง
พูดถึงญี่ปุ่นสิ่งแรกที่ทุกคนล้วนนึกถึงก็คือ ฟูจิซัง
ภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนเกาะญี่ปุ่นแห่งนี้ ภูเขาไฟที่มีเสน่ห์มากที่สุดในโลกลูกหนึ่ง
ฟูจิซังที่ทุกครั้งที่ผมมาญี่ปุ่นจะต้องแวะเวียนไปที่นี่เสมอๆ
ทริปใบไม้แดงครั้งนี้ แรกทีเดียวผมได้ตัดฟูจิซังออกจากตารางเที่ยวไปแล้ว
เพราะช่วงเวลาที่ผมไปเป็นช่วงที่ไม่ค่อยเหลือใบไม้แดงแล้ว
ผมตั้งใจจะไปปิดทริป ช้อปปิ้งและเดินเล่นถ่ายรูปเล่นที่โตเกียว
จนวันที่ผมไปถึงโตเกียวด้วย night Bus จากโอซาก้าก็มี Message ส่งมาที่ Facebook ผมว่า
“วันมะรืนอากาศดีไปถ่ายรูปฟูจิซังกันมั๊ย”
One Day Trip ขับรถวนรอบฟูจิซังจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
4 ทุ่มวันต่อมา ผมและทีมรวมกัน 4 คน จึงบึ่งรถจากโตเกียวไปยังคาวากูชิโกะ
เพื่อเตรียมตัวไปหามุมถ่ายรูปกัน หลังจากแวะร้านสะดวกซื้อเติมพลังกันแล้ว
พวกผมก็ขับรถขึ้นไปที่เทือกเขา Kurodake เพื่อหามุมถ่ายรูปกัน
ผมไปถึงที่จอดรถตอน ตี 3 พบว่าที่จอดรถที่มีอยู่ 6 ที่ถูกจับจองไปแล้วถึง 5 ที่
เรียกว่าในวันที่อากาศมีแนวโน้มว่าจะดี คนญี่ปุ่นเองไม่มียอมแพ้กันเลยในการถ่ายรูปฟูจิซัง
และเมื่อผมขึ้นไปถึงจุดชมวิวตอนตี 4 ครึ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นถึง 2 ชม.
ก็พบว่ามีคนญี่ปุ่นมากางขาตั้งกล้องเตรียมถ่ายรูปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่ามุมที่ดีที่สุดที่สามารถถ่ายได้เพียง 2 ที่ก็หายไป
ผมจึงต้องเดินไปหามุมใกล้ๆเพื่อถ่ายรูปแทน แม้ว่าอาจจะไม่ใช่มุมที่ดีที่สุด
แต่ในวันที่ฟูจิซังไม่ขี้อายและออกมาอวดโฉมแบบนี้ แค่ได้เห็นเธอ…ฟูจิซัง
เพียงเท่านี้ก็เป็นความสุขที่สุดแล้ว..
หลังจากฟินกับการถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นแล้วผมลงไปด้านล่างที่ทะเลสาปไซโกะครับ…
ที่นี่เป็นทะเลสาปที่ติดกับทะเลสาปคาวากูชิ แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่
แต่จริงๆแล้วที่นี่ก็เป็นทะเลสาปที่มีความพิเศษ คือทุกเช้าที่นี่จะมีไอน้ำลอยขึ้นมาจากทะเลสาป
เหมือน ปางอุ๋งบ้านเราประมาณนั้นครับ
ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สวยและฟินที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียวครับ
ช่วงสายๆของวันผมขับรถวนลงไปที่เมืองฟูจิ เพื่อจะไปถ่ายรถไฟชินคันเซ็นบนสะพานคู่กับฟูจิซัง
หลังจากเมื่อต้นปีผมไปถ่ายแล้วเฟล เพราะเมฆเยอะ
แต่น่าเสียดายที่จุดที่ผมจะไปถ่ายนั้นกำลังมีการก่อสร้างเลยไม่สามารถลงไปถ่ายได้ครับ
คำว่า “ข้ออ้างในการกลับมาเที่ยวอีกครั้ง” ก็กลับมาวนเวียนภายในหัวผมอีกครั้ง
แต่ในเมื่อสิ่งที่เราหวังไม่เป็นไปตามที่หวัง
เราเองก็สามารถเลือกที่จะสนุกกับมันไปได้เช่นกัน
ผมเองเลยคุยกับเพื่อนว่าเรามาถ่ายรูปแพนกล้องกับชินคันเซ็นกันเถอะ
สุดท้ายผมก็เลยได้ภาพนี้มาแทนครับ
ที่เมืองฟูจิเองก็ยังมีจุดให้ถ่ายรูป ชินคันเซ็นคู่กับฟูจิซังอีกหลายมุม
โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายฉากหน้าเป็นอะไรซึ่งก็มีให้เลือกทั้งไร่ชา และนาข้าว
ช่วงที่ผมไปนั้นต้นชายังไม่แตกใบอ่อนเท่าไหร่
ผมจึงเลือกไปถ่ายคู่กับนาข้าวแทนครับ
และนอกจากชินคันเซ็นแล้ว รถไฟธรรมดาก็มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปด้วยเช่นกัน
จริงๆแล้วแพลนแรกทีเดียวผมกะว่าจะมาถ่ายฟูจิซังกับพระอาทิตย์ตกแถวๆเมือง Kanagawa
แต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่บ่าย เมฆทุกก้อนมาก็มาร่วมร้องเพลงสามัคคีชุมนุมกันที่ยอดของฟูจิซังเป็นที่เรียบร้อย…
One Day Trip รอบฟูจิซังของผมจึงจบลงด้วยประการฉะนี้..
บ๊ายบายเจแปน แล้วเราจะพบกันใหม่เร็วๆนี้
สำหรับเควสโกโกริโกะ ตอนล่าใบไม้แดงของผมในปีนี้
แม้สิ่งที่พบเจออาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ในทางตรงกันข้ามผมก็ได้เจอสิ่งดีๆที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเช่นกัน
ซึ่งจริงๆแล้วการเดินทางทุกครั้งก็เช่นกัน
การที่บางทริปเราบางว่าสนุก ดี สวยงาม หรือไม่ชอบ
นั้นอาจจะเกิดจากการที่เราคาดหวังมากเกินไป
หากแต่ว่าเราปล่อยกายปล่อยใจให้ว่างแล้ว
ผมว่าสิ่งที่ผ่านเข้ามาในการเดินทางแต่ละครั้ง ล้วนเป็นความทรงจำที่ดีเสมอ..
สำหรับวันนี้ผมก็คงต้องขอลาญี่ปุ่นไปก่อน แต่ไม่นานเกินรอแน่นอนผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความสวยงามทุกภูมิภาค
และทุกฤดูกาลจริงๆ แล้วมาลุ้นกันครับว่า ญี่ปุ่นครั้งหน้าผมจะไปที่ไหน
สำหรับวันนี้ก็ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามชมและสวัสดีครับ