Oct-2015
ยุโรปตะวันออก สายน้ำแห่งความคลาสสิค ตอนที่ 1 ปฐมบท
ยุโรปตะวันออก เส้นทางหนึ่งที่มีความสวยงามคลาสสิค และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ปี 2015 ผมมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเส้นทางนี้มา 1 เดือน 5 ประเทศ 23 เมืองใน เยอรมัน ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส ออสเตรีย และสาธารณรัฐเช็ก แต่ละประเทศล้วนมีเอกลักษณ์ และมีความคลาสสิคในตัวเองเป็นอย่างมาก วันนี้จะขอพาทุกคนออกไปเที่ยวด้วยกัน – – – ตอนที่ 1 ปฐมบท
Journey of Eastern Europe : สายน้ำแห่งความคลาสสิค
ยุโรปตะวันออก ตอนที่ 1: ปฐมบท
คงจะดีไม่น้อยถ้าซักครั้งหนึ่งเราได้พาคนที่รู้ใจไปเที่ยวยุโรป ดินแดนแห่งความคลาสสิค หลายคนอาจสงสัยว่าที่ผมเดินทางเยอะขนาดนี้ไม่ได้พาคุณนายไปเที่ยวเลยหรือ คำตอบคือ ไม่ค่อยมีโอกาสครับ เพราะการเดินทางครั้งหนึ่งผมใช้เวลามาก ซึ่งคุณนายไม่สามารถลางานได้นานขนาดนั้น แต่กลางปี 2015 ที่ผ่านมา ความฝันของผมเป็นจริงล่ะครับกับทริป “ยุโรปตะวันออก” หนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันกันมากที่สุด ด้วยความคลาสสิคของอาคารบ้านเรือน และสถานที่ที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติค และยังมีประวัติศาสตร์อย่างมากมาย ถึงแม้คุณนายผมจะเดินทางมาสมทบแค่ครึ่งหลังของทริป เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทริปนี้เป็นทริปที่สุดพิเศษและฟินที่สุดของปีนี้ล่ะครับ
สำหรับในตอนที่ 1 นี้ผมจะพาทุกคนไปดูเรื่องการเตรียมตัวและโปรแกรมรวมๆของผมกันก่อน แล้วผมจะค่อยๆลงรายละเอียดในแต่ละพื้นที่ในตอนถัดๆไปครับ พร้อมกันแล้วออกเดินทางไปสู่ใจกลางยุโรปพร้อมๆกันเลยครับ
Multi-City การเดินทางสู่ยุโรปแบบคุ้มค่าสุดๆ
ที่ผ่านมาการเดินทางไปยุโรป เราอาจจะนึกกันว่าค่าตั๋วเครื่องบินจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท แต่ในความเป็นจริงแล้วปัจจุบันมีเงินเพียง หนึ่งหมื่นบาทกว่าๆ ก็สามารถเดินทางไปยังยุโรปได้แล้ว ซึ่งตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้หายากอะไรมากมาย เพราะปัจจุบันมีแฟนเพจมากมายที่คอยเอาตั๋วราคาพิเศษๆ ที่ซ่อนอยู่มาให้เราเสมอ ซึ่ง Fan Page ที่ผมใช้เป็นประจำมีอยู่ 3 ที่คือ
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแฟนเพจไหนส่วนมากแล้วตั๋วที่ราคาถูกสุดๆที่หามาได้นั้น มักจะเป็นตั๋วแบบ Multi-City หรือตั๋วที่ไปกลับคนล่ะสนามบินนั่นเองเช่นขาไปอาจจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม หรือ ฮ่องกง อะไรอย่างนั้น ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าตั๋วแบบนี้ราคาจะถูกกว่าตั๋วแบบไป-กลับธรรมดาๆ มากถึง 30-50% เลยทีเดียวครับ
สำหรับทริปนี้ตั๋วที่ผมจองได้คือตั๋วจากสายการบิน Etihad ซึ่งตั๋วที่ผมจองเป็นเส้นทาง Multi-City คือ Singapore – Frankfurt และ Munich – Bangkok ซึ่งโปรที่ออกในตอนนั้นผมสามารถบินไปกลับจากสนามบินไหนก็ได้ในเยอรมัน โปรที่ถูกสุดในช่วงนั้นคือตั๋วใบละ 15,500 แต่ในวันที่ผมเลือกไปนั้นราคาตั๋วต่อคนอยู่ที่ 16,275 บาท เท่านั้น (แต่ปัจจุบันผมเห็นตั๋วเส้นทางนี้ราคาเพียง 11,000 บาทเท่านั้น) แต่ช่วงที่ผมไปราคามันจะสูงกว่าโปรปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็เพราะช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นไฮซีซั่นของยุโรปครับ
AirAsia สายการบินราคาประหยัด ส่วนเติมเต็มของตั๋ว Multi-City
หลังจากได้ตั๋วยุโรปราคาสุดคุ้มไปแล้ว ผมต้องหาตั๋วอีก 1 ใบคือ กรุงเทพฯ – สิงคโปร์ เพื่อที่จะได้ตั๋วครบ ไปกลับยุโรปได้นั่นเอง เพื่อนผมคนนึงที่ไปด้วยอยู่ที่ปัตตานี เขาใช้วิธีนั่งรถทัวร์จาก หาดใหญ่-สิงคโปร์ ราคาไม่ถึงพันบาทครับ แต่ผมจะให้นั่งรถทัวร์จากกทม.ไปคงไม่ไหว
ผมเลยหาตั๋วจากสายการบินต้นทุนต่ำเอา ซึ่งผมก็รอช่วงที่ Air Asia ออกโปรแล้วก็จัดการสอยตั๋ว กรุงเทพฯ – สิงคโปร์ เสียเลยครับ เพราะ Air Asia เองมีไฟลท์บินไปสิงคโปร์เยอะมากถึง 6 เที่ยวบินต่อวันเลย และผมเองไม่มีประเด็นว่าต้องไปไฟลท์ไหนก็เลือกไฟลท์ที่ราคาโปรถูกที่สุดได้เลย
ซึ่งราคาตั๋วขาเดียวที่ผมจองได้อยู่ที่ 910 บาทต่อคน บวกกับค่ากระเป๋า และอาหารแล้ว ราคาทั้งหมดก็ราวๆ 1,500 บาท ซึ่งรวมกับค่าตั๋วจาก Etihad แล้วเท่ากับว่าผมได้ตั๋วไปกลับยุโรปในราคาราวๆ 17,500 บาทเท่านั้น ต่างจากปีก่อนที่ผมไปยุโรปตะวันออกแล้วยังไม่ทราบวิธีจองแบบนี้ ผมเจอค่าตั๋วไป-กลับถึง 32,000 บาท เห็นมั๊ยครับ ว่ามันประหยัดค่าตั๋วได้มากขนาดไหน
ซึ่งทริปนี้ผมก็ถือโอกาสแวะไปนอนเล่นที่สิงคโปร์เพื่อไปเก็บภาพสต๊อกมา 3 คืนด้วย
วันที่ไปเนื่องจากเป็นไฟลท์เช้าแถมมีทัวร์จีนลง คนเลยเยอะจัดคิวยาวมากๆ ผมเลยเดินออกไปใช้ Kiosk ทำ Self Check in แล้วไปเข้าแถวฝั่ง Bag Drop แทน ซึ่งแม้จะคนเยอะเหมือนกันแต่แถวเร็วกว่าเยอะเลยครับ ก่อนวันเดินทางผมสั่งของกินล่วงหน้าเป็นข้าวเหนียวไก่ย่าง และของหวานเป็นข้าวเหนียวมะม่วง เนื่องจากที่ฝั่ง International ไม่มี 7-11 ที่จะขายอาหารราคาถูกๆให้กิน ส่วนอาหารในสนามบินก็แพงๆทั้งนั้น ผมเลยตัดสินใจสั่งอาหารล่วงหน้าไปเลย เพราะได้ลดเพิ่มอีก 20% ด้วยครับ
Global Wifi : คำตอบสำหรับการใช้อินเตอร์เนตกรณีเดินทางเที่ยวหลายประเทศในยุโรป
สำหรับเรื่องอินเตอร์เนตในการไปเที่ยวยุโรปครั้งนี้ ผมได้นำเครื่อง Pocket wifi ของ Global Wifi ไปใช้งาน เพราะที่ยุโรปถึงจะมีการรวมตัวใช้สกุลเงิน Euro เหมือนกันในหลายประเทศ แต่ทว่าเรื่องการสื่อสารแต่ละประเทศจะมีซิมของตัวเอง แปลว่าเวลาเดินทางข้ามประเทศจะต้องหาซื้อซิมใหม่ตลอด ซึ่งรอบนี้ผมเดินทางไปถึง 5 ประเทศจึงไม่สะดวกที่จะต้องคอยวิ่งหาซิมใช้ครับ
ราคาสำหรับการใช้งาน Global Wifi ในยุโรป จะอยู่ที่ราวๆ 350 บาท/วันครับ อาจจะมองว่าค่อนข้างแพงถ้าเทียบกับการซื้อซิมใช้งานในแต่ละประเทศ แต่ Global Wifi จะได้เรื่องความสะดวกเพราะหนึ่งเครื่องสามารถรองรับการใช้งานสูงสุดได้ถึง 10 ประเทศในหนึ่งทริป (เราจะต้องระบุประเทศที่เดินทางไป แล้วบริษัทจะใส่ซิมลงไปให้ตามนั้น) และทริปนี้ผมได้ไปร่วมทริปกับเพื่อนอีกคนที่เดินทางไปก่อน เขาไปเที่ยวโซนสแกนดิเนเวียก่อนแล้วค่อยมาเจอกันที่เยอรมัน เราเลยแชร์ Global Wifi กันครับ สรุปแล้วช่วงที่ผมไป 28 วัน ค่าใช้ Global Wifi อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท หาร 5 คนแล้วเหลือแค่คนละ 2,000 บาทผมว่าราคามันโอเคอยู่ครับ
เพราะปกติแล้วการซื้อซิมในยุโรปราคาจะอยู่ที่ราวๆ 20-25 EUR ถ้าไป 5 ประเทศก็เฉลี่ยๆที่ 4,000 บาท และบางประเทศยังไม่สามารถแชร์เนตได้ด้วยนั่นแปลว่า แต่ละคนต้องมีซิมเป็นของตัวเองทั้งหมด ค่าใช้จ่ายรวมก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
สำหรับการใช้งานเครื่อง Pocket Wifi ของ Global Wifi เมื่อเปิดเครื่องแล้ว เครื่องจะตรวจสอบสัญญาณของจุดที่เราอยู่ว่าเป็นประเทศอะไร แล้วเครื่องจะไปเรียกการใช้งานของซิมของประเทศนั้นๆ แต่ในช่วงข้ามแดนเปลี่ยนประเทศควรที่จะ Restart เครื่องใหม่เพื่อให้เครื่องตรวจจับสัญญาณใหม่ครับ
เรื่องปริมาณการใช้งานจะไม่ไช่ Unlimit เหมือนการใช้ Pocket wifi ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ละประเทศจะมี Limit อยู่ที่ 500 Mb -1 Gb ต่อวัน ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อย แต่สิ่งที่พึงระวังคือมือถือจะเข้าใจว่าเป็นการต่อ wifi ทั่วไปซึ่งปกติแล้วเครื่องมักจะเซตให้มีการโหลด VDO หรือ โหลดอัพเดทโปรแกรมต่างๆโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเราต้องไปปิดบริการตรงนี้ออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นรับรองว่าวันที่มีอัพเดทอะไรออกมาแล้วเครื่องไปออโต้อัพเดท เนตวันนั้นหมดแน่นอนครับ อ้อตัวเครื่องจะมีขึ้นปริมาณเนตที่ใช้ให้เราทราบด้วย และจะรีเซตใหม่ตอนเที่ยงคืนของทุกวันครับ
THIS IS ROAD TRIP
แม้ว่าการเดินทางเที่ยวในยุโรปคนทั่วไปจะนิยมใช้รถไฟในการเที่ยว แต่สำหรับทริปนี้การเดินทางหลักของผมคือการเช่ารถยนต์เที่ยว เพราะที่เยอรมัน ประเทศหลักในการเที่ยวครั้งนี้ เป็นประเทศที่มีเครือข่ายทางถนนที่ดีที่สุดในยุโรป และถ้าเป็นทางด่วนออโตบาห์นนั้นก็ไม่มีการจำกัดความเร็วอีกด้วย
ทริปนี้ช่วงครึ่งหลังจะมีผู้ร่วมเดินทาง 5 ชีวิตผมเลยเช่ารถรุ่นใหญ่ ได้เป็นรถ Ford ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นรุ่น Tourneo ครับ และวิวสวยๆแบบนี้จะมีให้ชมตลอดทางในเยอรมันเลยครับ เลยเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมใช้วิธีขับรถเที่ยวเอาครับ
การขับรถใน EU เป็นรถยนต์พวกมาลัยซ้าย อาจจะงงๆในช่วงแรกแต่ขับไปซักพักก็จะชินครับ ส่วนเรื่องของการขับรถข้ามประเทศก็ไม่ต้องห่วงเพราะมันเป็น Borderless ไม่ต้องมีการเช็คอะไรใดๆทั้งสิ้นมีแค่ป้ายบอกว่าข้ามประเทศแล้วเท่านั้นเอง เราขับผ่านไปได้เลย สำหรับการเดินทางโดยใช้รถนั้นผมแนะนำว่าควรที่จะมี GPS เพราะว่าถนนในเมืองใหญ่ๆในยุโรปจะวุ่นวายมาก โดยเฉพาะถนนเล็กๆ ตรอกซอกซอยจะเยอะ และส่วนมากเป็นวันเวย์หลงกันได้ง่ายๆเลย
สำหรับ GPS ผมแนะนำว่าเราสามารถซื้อเครื่องจากเมืองไทย แล้วหาโหลดแผนที่ฟรีที่เป็น Open Street Map ไปใช้งานได้ครับ อย่างของผมผมซื้อ GPS ของ Garmin ตัวที่ถูกที่สุดราคาประมาณ 2,500 บาท ถูกมาก ส่วนเรื่องแผนที่ผมโหลดจากที่นี่ http://mapas.alternativaslibres.es/downloads.php มีแผนที่แยกประเทศไว้ให้ แต่ถ้าจะเอาแผนที่ทั้งยุโรป เพื่อเวลาเราข้ามประเทศจะให้เครื่องสามารถ Gen Route ระหว่างประเทศได้ เว็บนี้จากขอให้เรา Donate อย่างน้อย 16 Euro ครับ เราจะสามารถโหลดแผนที่ได้ในช่วงเวลา 1 ปีครับ ซึ่งผมก็ Donate ให้เค้าและโหลดแผนที่ของทั้งยุโรปมาใช้ครับ และก่อนที่จะครบ 1 ปีผมก็ไปโหลดแผนที่เวอร์ชั่นล่าสุดมาอีกรอบครับ และอีกเว็บที่ผมใช้บริการบ่อยคือเว็บนี้ http://www.osmmaps.com ของที่นี่ผมโหลดแผนที่ตอนไปเที่ยวอเมริกาและแคนาดาครับ
หลังจากได้แผนที่แล้วเราก็ต้องมาใส่พิกัดสถานที่ที่เราจะไป ซึ่งพวกโรงแรมส่วนมากจะมีพิกัด GPS มาให้อยู่แล้ว ก็ให้เราบันทึกลงไปได้เลย พวกสถานที่เที่ยวก็เช่นกันครับ สำหรับสถานที่บางที่ที่เราไม่ทราบพิกัด GPS แต่รู้ว่าอยู่ตรงไหนใน Google map เราก็สามารถบันทึกได้เช่นกัน โดยให้เราคลิกขวาที่แผนที่จุดที่เราต้องการไปแล้วเลือก What’s Here แล้วมันจะขึ้นพิกัดมาให้ครับ แต่ทีนี้พิกัดที่ขึ้นมาอาจจะไม่ตรง format ที่ GPS เราใช้ เราก็สามารถไปแปลงได้ที่เว็บนี้ http://www.gpsvisualizer.com/calculators
เพียงเท่านี้เราก็จะได้ GPS ไว้ใช้งานแล้วครับ
วางแผนการขับรถเที่ยว 2 เส้นทาง
การไปเที่ยวครั้งนี้ผมไปลงเครื่องที่แฟรงค์เฟิร์ต และกลับที่มิวนิค โดยช่วงกลางทริปผมจะต้องแวะมามิวนิค เพื่อมารับคุณนายที่เดินทางมาสมทบ ผมเลยจัดโปรแกรมขับรถเป็นวงกลม 2 รูท โดยเอาเยอรมันเป็นเซ็นเตอร์แล้วขับวนซ้ายกับวนขวาเอาครับ
Route 1 : Journey of Rhineland
ในช่วงแรกก่อนที่คุณนายจะมาผมขับรถวนซ้าย เที่ยวทางโซนตะวันตกของเยอรมันเป็นหลัก และวนเข้าลักเซมเบิร์ก และฝรั่งเศสที่แคว้นอัลซาส ก่อนที่จะกลับเข้าเยอรมันที่โซนแบล็คฟอเรส ก่อนวนไปมิวนิค รูทนี้ผมขับรถไปร่วมๆ 2,000 กิโลเมตร ส่วนตารางเที่ยวก็ประมาณนี้ครับ
Day 1: Singapore – Frankfurt
Day 2: Frankfurt – Heidelberg -Frankfurt
Day 3: Frankfurt – Aschaffenburg (Johannisburg Castle) – Frankfurt
Day 4: Frankfurt
Day 5: Frankfurt – Boppard – Eltz Castle – Cologne
Day 6: Cologne
Day 7: Cologne – Luxembourg
Day 8: Luxembourg – Strasbourg – Colmar
Day 9: Colmar – (Alsace wine route)
Day 10: Colmar – Triberg (Black Forest) – Stuttgart
Day 11: Stuttgart
Day 12: Stuttgart – Rothenburg ob der tauber
Day 13: Rothenburg ob der tauber – Munich
ที่เที่ยวในโซนนี้จะเป็นที่เที่ยวในส่วนของ Rhineland ซึ่งเป็นดินแดนที่แม่น้ำไรน์ไหลผ่าน จากเทือกเขาแอลป์ไปสิ้นสุดที่เนเธอร์แลนด์ ซึ่งแม่น้ำไรน์นี้ได้รับสมญานามว่าเป็นแม่น้ำนานาชาติของยุโรปเลยทีเดียวครับ
Route 2 : Journey of Classical Europe
ช่วงที่สองหลังจากรับคุณนายที่มิวนิค ผมก็วนในเส้นทางยอดฮิตของการมาเที่ยวยุโรปตะวันออก เพียงแค่ผมไม่ได้แวะไปถึงเมืองบูดาเปส ประเทศฮังการีเท่านั้นเอง รูทที่ขับรถคือออกจากมิวนิคไปทางใต้เที่ยวปราสาทนอยชวานชไตน์ที่ฟุซเซ่น แล้วไปขึ้นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมันที่ซุกปิสเซ่ ก่อนจะวนเข้าออสเตรียที่ เมืองซาลส์บวร์ก ไปฮัลสตัท และเมืองหลวงของออสเตรียที่เวียนนา ก่อนวนขึ้นไปสาธารณรัฐเช็กเที่ยวอีกสามเมืองคือ เชสกี้คุมลอฟ ปราก และคาร์โลวี่ วารี ตารางเที่ยวก็เป็นไปตามนี้เลยครับ
Day 14: Munich – Linderhof Palace – Fussen
Day 15: Fussen – Hohenschwangau – Fussen (Neuschwanstein Castle)
Day 16: Fussen – Zugspitze – Salzburg
Day 17: Salzburg – Hallstatt
Day 18: Hallstatt
Day 19: Hallstatt – Vienna
Day 20: Vienna
Day 21: Vienna – Cesky Krumlov
Day 22: Cesky Krumlov – Prague
Day 23: Prague
Day 24: Prague – Karlovy Vary
Day 25: Karlovy Vary – Munich
Day 26: Munich
Day 27: Munich
Day 28: Munich – Bangkok
ซึ่งรูท 2 รูทนี้เพื่อนๆก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้เลยครับ เพราะผมว่ามันพอดีๆ คือรูทละประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คนทั่วไปพอที่จะสามารถลางานไปเที่ยวได้นั่นเองครับ
อาหารการกินในทริป
ด้านอาหารการกินในทริป ผมเองไม่ได้ทำอาหารกินเองมากซักเท่าไหร่ เพราะแต่ละวันไปถ่ายรูป กว่าจะเสร็จและกลับมาถึงที่พักก็ร่วมๆ 4-5 ทุ่มแล้ว บางวันก็ลากยาวไปถึงเที่ยงคืน เพราะเป็นฤดูร้อนซึ่งกลางวันจะยาวนานมาก แต่ผมเองก็ไม่ได้กินอัตคัดแต่อย่างใด เรียกว่ากินดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะกินเหลาเกือบทุกมื้อ
โดยอาหารหลักที่ผมกินในทริปนี้จะเป็น “อาหารจีน” เพราะว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติใกล้เคียงอาหารไทยมากที่สุดแล้วที่สามารถหาได้ และที่สำคัญราคาก็ถูกด้วย (ถ้าเทียบกับอาหารท้องถิ่น) ส่วนอาหารไทย(แท้ๆ) ส่วนมากจะแพงกว่าครับ แต่ผมก็ถูกปากคนไทยอย่างเรากว่าจริงๆ 555
ซึ่งร้านอาหารจีนนั้นถือว่ามีเยอะมากในยุโรป มีเกือบจะทุกเมืองที่ไปเที่ยวครับ ยิ่งถ้ามีอินเตอร์เนตยิ่งหาได้ง่ายมาก โดยให้เปิด Google map แล้วค้นหาด้วยคำว่า “Chinese Restaurant” “Asia Restaurant” หรือถ้าอยากทานอาหารไทยก็ลอง ค้นด้วยคำว่า “Thai Restaurant” ดูจะมีร้านโชว์ขึ้นมามากมายไม่น่าเชื่อครับ และถ้าเที่ยวจนชินแล้ว มันจะมีเซ้นส์บอกเองว่าจุดไหนในเมืองที่จะมีร้านอาหารจีนให้กินครับ ถ้าเป็นอาหารจานเดียวแบบกับราดข้าวมาเลยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 6 EUR เท่านั้น ถ้าเป็นกับข้าวก็จะราวจานละ 10 EUR ซึ่งเอาจริงๆผมแนะนำให้สั่งแบบราดข้าวมาเลยครับ คุ้มกว่า แล้วค่อยเอามาแบ่งกับเพื่อนๆเอา
สำหรับน้ำดื่ม ปกติแล้วตามร้านอาหารจะแพง ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจเขาครับ ลองถามดูเลยว่ามี Tap Water มั๊ย หลายร้านจะมีให้แต่ถ้าไม่มีเราก็ไม่จำเป็นต้องสั่งน้ำนะครับ เราสามารถเอาน้ำเปล่าที่เราเตรียมมาเองกินได้เลย เขาไม่ว่าเราแต่ถ้าเป็นร้านอาหารฝรั่งส่วนใหญ่ต้องสั่งน้ำดื่มด้วยครับ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไปเที่ยวแล้วผมทานแต่อาหารจีนนะครับ อาหารท้องถิ่นผมก็ทานครับ เป็นครั้งคราว ที่ไม่ได้ทานบ่อยนอกจากเรื่องราคาที่แพงกว่าแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือทานอาหารฝรั่งมากมันจะเลี่ยนครับ
ภาพรวมการเที่ยว JOURNEY OF EASTERN EUROPE : สายน้ำแห่งความคลาสสิค
ในกระทู้นี้ผมจะเอาภาพแต่ละที่มาฝากกันไปก่อน แต่จะยังไม่ลงรายละเอียดในแต่ละเมืองครับเพราะถ้าลงรายละเอียดทั้งหมดคงเยอะมากๆ คงอ่านกระทู้นี้เป็นวันๆกว่าจะจบ 555
Singapore : ประเทศแห่งการสร้าง Landmark
สิงคโปร์เองเป็นประเทศที่ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมากมายนอกจากเงิน เงินที่สิงคโปร์นำไปเนรมิต Landmark จำนวนมากให้คนได้มาเที่ยวกัน นับจากครั้งแรกที่ได้ไปสิงคโปร์มา สิงคโปร์เปลี่ยนไปมากจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นประเทศที่เกิดมาได้แค่ 50 ปีเท่านั้นเอง และสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่าง Garden By The Bay นั้นพึ่งจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาหมาดๆ ทริปนี้ผมไปอยู่ที่สิงคโปร์มา 3 วันเน้นไปแบบชิวๆไปเก็บภาพสต๊อกเป็นหลักเลยไม่ค่อยได้เที่ยวอะไรมากนักครับ
Rhineland ดินแดนแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ แม่น้ำนานาชาติของยุโรป
เมืองแรกที่ผมไปเที่ยวในทริป ยุโรปตะวันออก ครั้งนี้คือ “แฟรงค์เฟิร์ต” เมืองที่หลายๆคนมองข้าม แต่จริงๆในตัวเมืองก็มีส่วนที่น่าสนใจไม่น้อยเลย แฟรงค์เฟิร์ตได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองหลวงด้านการค้าของ EU เพราะธนาคารกลางของ EU หรือ European Central Bank ตั้งอยู่ที่นี่ครับ
และที่แฟรงค์เฟิร์ตก็ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ในยุโรปที่มีตึกสูงเยอะมากที่สุดเมืองหนึ่งครับ
ในส่วนของเมืองเก่ามีไม่มากเพราะถูกทำลายไปจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งแล้วครับ
จากแฟรงค์เฟิร์ตเราสามารถจัด One day Trip ไปเมืองใกล้ๆได้ เมืองที่เป็นที่นิยมก็คือเมือง Heidelberg ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ของเยอรมันที่ขึ้นชื่อด้านการแพทย์ และเมือง Aschaffenburg เพื่อไปเที่ยวปราสาท Johannisburg
จากนั้นเราขับรถขึ้นเหนือไปตามแม่น้ำไรน์เพื่อไปที่เมืองโคโลจน์กัน ระหว่างทางผ่านเมืองเล็กน่ารักๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอย่างเมือง Boppard และแวะ Eltz Castle ปราสาทที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา
เมืองโคโลจน์ สิ่งที่เด็ดที่สุดก็คือมหาวิหารโคโลจน์ ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตอนบนครับ และถ้าเทียบความสูงจากอัตราส่วนความกว้างของฐานกับความสูงแล้ว ที่นี่ถือเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุด และในช่วงที่สร้างเสร็จในปี 1880 โบสถ์แห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลกด้วยครับ
จากนั้นผมก็ขับรถลงมาทางใต้แวะที่ประเทศลักเซมเบิร์กประเทศน้องเล็กของยุโรป ที่หนังสือ Lonely Planet ใช้คำว่าจับพลัดจับผลูได้กลายมาเป็นประเทศ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้คนที่นี่กลับรวยติดอันดับต้นๆของยุโรปและของโลก(ปล. ที่นี่น้ำมันถูกมว๊ากกกก)
จากนั้นผมก็ขับรถยาวมาที่พรมแดนฝรั่งเศสเยอรมันที่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำไรน์ หลังจากไหลลงมาจากเทือกเขาแอลป์ในสวิสเซอร์แลนด์ สิ่งที่สวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากคือ บ้านเรือนในแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศสนั้น เป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบ Half-Timeber จากเยอรมันกับความกุ๊กกิ๊กน่ารักตามแบบฉบับฝรั่งเศส ทำให้บ้านเรือนในโซนนี้ได้รับการโหวตให้เป็นหมู่บ้านที่สวยงามที่สุด
จากนั้นผมก็ขับรถกลับไปฝั่งเยอรมัน ในโซนของ Black Forest ครับ ซึ่งที่นี่มีเค้ก Black Forest ที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่ และเป็นต้นกำเนิดของนาฬิกากุ๊กกู และมีน้ำตกที่เคยเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในเยอรมันอยู่ครับ
จากนั้นผมก็ขับรถต่อไปที่เมืองสตุ๊ตการ์ทซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมของเยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตรถยนต์ ทั้งเมอร์เซเดส เบนซ์ และปอร์เช่ ล้วนผลิตจากเมืองนี้ครับ ตอนมาเมืองนี้ ก็เริ่มเป็นช่วงที่ผมพักร่างล่ะครับ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนมาก เน้นเดินเล่นใน Museum และออกมาถ่าย Twilight ช่วงเย็นเอาครับ
หลักจากได้พักร่างแล้วผมก็ไปต่อที่เมือง โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ หรือเรียกย่อๆว่า โรเธนเบิร์ก โอดีที ซึ่งเป็นเมืองเก่าเพียงไม่กี่เมืองของเยอรมันที่รอดพ้นจากการทำลายเมื่อเกิดสงครามโลก เลยเหลือกำแพงเมืองและบ้านสไตล์ Half-Timber แท้ๆอยู่ที่นี่ครับ
จากนั้นผมก็ขับรถไปที่มิวนิคเพื่อไปรับคุณนายผม ซึ่งวันนั้นเป็นวันแรกตั้งแต่เริ่มทริปมาที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพ Twilight ถือเป็นอีกวันที่ได้พักร่างเพื่อเตรียมไปต่อในช่วงครึ่งหลังของทริป
The Classical Europe เข้าถึงแก่นแท้แห่งความเป็นยุโรป
ถ้าจะถามผมว่าหลังจากที่ได้ไปยุโรปมาหลากหลายเมือง ที่ไหนที่ดูดีและแสดงถึงความเป็นยุโรปได้มากที่สุด ผมเองคิดว่าเป็นเส้นทางช่วงนี้ล่ะครับ ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่ดูมีความคลาสสิคมากๆ
หลังจากผมรับคุณนายจากสนามบินมิวนิคแล้ว ผมเริ่มจากการขับรถลงไปทางใต้ที่เมืองฟุซเซ่น ระหว่างทางได้แวะเที่ยว Lindehof Palace เป็นวังเล็กๆ แต่การตกแต่งภายในสวยงามมากๆ สวยทุกห้อง สวยกว่าหลายวังที่ผมเคยเห็นมา แต่เสียดายที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูปภายในครับ
นอกจากที่นี่แล้วผมยังได้แวะโบสถ์ Pilgrimage Church of Wies โบสถ์ที่ตกแต่งในสไตล์ Bavarian Rococo ซึ่งส่วนตัวแล้วผมว่าที่นี่เป็นโบสถ์ที่ภายในสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ
จากนั้นเราก็ไปกันที่เมืองฟุซเซ่นซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับหมู่บ้าน Hohenschwangau ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทที่ว่ากันว่าเป็นต้นแบบที่แท้จริงของปราสาท Walt Disney นั่นคือปราสาท Neuschwanstein และใกล้ๆกันก็ยังมีอีกปราสาทหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้กันคือปราสาท Hohenschwangau ครับ
หลังจากเที่ยวปราสาทที่เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศเยอรมันแล้วผมก็ขับรถเข้าไปที่ซาลสเบิร์ก แต่ระหว่างทางผมได้แวะขึ้นเขาที่สูงที่สุดในเยอรมันเป็นเขาที่เป็นพรมแดนระหว่างเยอรมันและออสเตรียนั่นก็คือยอดเขาซุกปิสเซ่
จากนั้นผมก็ขับรถเข้าไปซาลสเบิร์กซึ่งเป็นเมืองต้นตำรับของหนังเรื่อง The Sound of Music และยังเป็นบ้านเกิดของโมสาร์ทด้วย
จากซาลสเบิร์กผมก็ไปต่อที่หมู่บ้านที่เป็นที่หมายปองจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกนั่นคือฮัลล์สตัทนั่นเอง ซึ่งฮัลล์สตัทก็สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆครับ
และเมืองสุดท้ายที่ผมเที่ยวในออสเตรียก็คือเวียนนา ที่ตั้งของพระราชวังเชินบรุนน์ ซึ่งสวยงามสมคำร่ำรือจริงๆ เวียนนาเองเป็นเมืองที่มีที่เที่ยวเยอะมาก แต่ด้วยช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ยุโรปเจอคลื่นความร้อนเข้าไปและมันก็มาพีคตอนช่วงที่ผมอยู่ที่นี่ ทำให้หมดอารมณ์เที่ยวไปเยอะเลย เพราะมันร้อนแห้งแสบผิวสุดๆครับ
หลังจากเที่ยวออสเตรียเสร็จผมก็เข้าไปประเทศสุดท้ายของทริปนี้คือประเทศสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นอีกประเทศที่น่าเที่ยวมากๆ ด้วยค่าครองชีพที่ถูกสุดๆ ของหลายอย่างราคาพอๆกับบ้านเราเลยครับ เมืองแรกที่ผมเข้าไปจากตอนใต้คือเชสกี้คลุมลอฟ เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองในเทพนิยายมากๆ ด้วยภูมิประเทศที่มีแม่น้ำล้อมรอบ สวยงามสุดๆ
แล้วก็ตามด้วยเมืองหลวงของประเทศอย่างปราก เมืองที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ถึงแม้บ้านเมืองอาจจะดูไม่คลาสสิคสวยงามอย่างออสเตรีย แต่เมืองนี้กลับมีความดิบ ลึกลับ และดูมีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างมาก ซึ่งส่วนตัวผมชอบที่นี่มากที่สุดในทุกเมืองที่ไปในทริปนี้ และเป็นเมืองเดียวที่ผมยอมตื่นเช้ามาถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น
สุดท้ายก่อนกลับเข้าเยอรมันผมแวะที่เมืองตากอากาศของสาธารณรัฐเช็กนั่นคือเมืองคาโลวี่วารี่ ซึ่งเป็นเมืองน่ารักๆอยู่ริมเขา และมีธารน้ำแร่ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งเราสามารถเอาถ้วยรองน้ำแร่กินได้จากน้ำพุทั่วเมืองเลยทีเดียว
ก่อนจะจบทริปนั้นผมได้มาที่เมืองมิวนิค แต่น่าเสียดายที่สถานที่เที่ยวหลายแห่งในเมืองอยู่ระหว่างการซ่อมแซมและหลายที่ที่ผมไปก็ดันตรงกับช่วงมีเทศกาลมีงานต่างๆพอดี เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่ ทั้งๆที่เมืองนี้ถือว่าเป็นเมืองที่มีที่เที่ยวเยอะมากๆ วันสุดท้ายก่อนกลับผมได้มีโอกาสแวะไป BMW Museum ซึ่งมีโชว์รถที่ใช้ในการถ่ายทำ Mission Impossible ภาคล่าสุดพอดีครับ
ตลอด 28 วันที่ผมเที่ยวใน “ยุโรปตะวันออก” นั้นผมใช้เงินทั้งทริป (ไม่รวมสิงคโปร์) ไปเพียง 90,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะเห็นว่าถ้าเอามาหารๆดูแล้ว ค่าเที่ยวโซนนี้จะอยู่ราวๆ 50,000 ต่อทริป 10-14 วันเท่านั้น เรียกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก สามารถมาเที่ยวได้อย่างสบายๆเลยครับ
ทริปนี้ถือเป็นทริปหนึ่งที่ผมประทับใจอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นทริปแรกที่ได้มีโอกาสพาคุณนายไปเที่ยวที่ฝั่งยุโรปด้วยครับ แถมยังเป็นยุโรปโซนที่มีทั้งความคลาสสิคและโรแมนติคมากๆอีกด้วย เอาล่ะครับสำหรับวันนี้ผมคงต้องขอจบตอนที่ 1 ปฐมบท “ยุโรปตะวันออก” สายน้ำแห่งความคลาสสิค ไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วจะมาต่อตอนสองลงรายละเอียดของทริปเร็วๆนี้นะครับ สำหรับวันนี้ลาไปแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ 🙂