Oct-2015
“โฮจิมินห์” จากอดีตสู่ปัจจุบัน เที่ยวไปกับนกแอร์ Somewhere In Time
“โฮจิมินห์” หรือนครไซง่อนแห่งเวียดนาม เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองโดยฝรั่งเศส ทำให้เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายจากฝรั่งเศสจากอดีตจวบจนปัจจุบัน เมืองแห่งนี้จึงมีเสน่ห์ และสวยงาม น่าค้นหา และน่าเที่ยวเป็นอย่างมาก
“โฮจิมินห์” จากอดีตสู่ปัจจุบัน เที่ยวไปกับนกแอร์ Somewhere In Time
ต้นเดือนตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา นกแอร์ ได้ทำการเปิดเที่ยวบินตรงจากดอนเมืองไปสู่นครโฮจิมินห์ พร้อมกันนั้น Travel Planet Xpereinces ได้รับเชิญจากนกแอร์ให้ร่วมทริป Somewhere In Time ไปเที่ยว ชมสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมอันงดงามของนครแห่งนี้ นครที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสในสมัยที่ฝรั่งเศสได้มาปกครองเมือง “โฮจิมินห์” ที่ถึงแม้ปัจจุบันไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศเวียดนามแต่กลับเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และมีความเจริญมากที่สุดในเวียดนาม พร้อมกันแล้วออกเดินทางไปพร้อมๆกันเลยครับ
มุ่งหน้าสู่ “โฮจิมินห์” ด้วยสายการบินนกแอร์
ปัจจุบันจนถึงเดือนพฤศิจกายน 2558 นกแอร์มีเที่ยวบินบินตรงสู่นครโฮจิมินห์ทั้งสิ้น สัปดาห์ละ 5 วัน 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไปนั้น นกแอร์จะให้บริการเที่ยวบินเส้นทาง ดอนเมือง-โฮจิมินห์ ถึงวันละ 2 เที่ยวบินทั้งช่วงเช้าและค่ำ เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่สวยมากๆ เพราะสามารถบินไปแต่เช้าและกลับค่ำได้เที่ยวแบบเต็มๆวันเลยทีเดียวครับ แต่ใครไปช่วงก่อนธันวาคม อย่าลืมเช็ครอบบินดีๆนะครับ http://nokair.com/content/en/destinations/Ho-Chi-Minh.aspx
สำหรับทริป Somewhere In Time นั้นเราเดินทางกันวันศุกร์ไฟลท์ DD3210 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา 7:35 ครับ ซึ่งเราก็ต้องมาถึงตั้งแต่ 5:30 หรือราวๆ 2 ชั่วโมงก่อนบินเหมือนการบินแบบ International ทั่วไปครับ สำหรับการบินไปต่างประเทศกับนกแอร์นั้นสิ่งที่ดีงามคือ จะสามารถโหลดสัมภาระได้ถึง 30 กก. ฟรี! โดยไม่ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มแต่อย่างใด สามารถเลือกที่นั่ง และมีอาหารให้ทานด้วยครับ
อุปกรณ์การถ่ายภาพที่ใช้ในทริปนี้
สำหรับทริปนี้เป็นทริปนี้ผมก็เอาอุปกรณ์จัดเต็มไปครับ เพราะทริปนี้มีรถพาไปเที่ยวจุดต่างๆอยู่แล้ว แล้วตอนเที่ยวผมก็เอาเลือกเอาอุปกรณ์ลงไป ตามความเหมาะสมของแต่ละที่เอาครับ อุปกรณ์ที่ใช้มีดังนี้ครับ
– Canon EOS 5D-III
– EF 16-35 f/2.8l II
– EF 24-70 f/2.8l II
– EF 70-200 f/4l II is
ปล. ขอบคุณพี่หยี น้ำฟ้าป่าเขา สำหรับภาพนี้คร้าบบบบ
การติดต่อสื่อสารและอินเตอร์เนต
สำหรับการเดินทางนั้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 1:30 ชม. ก็จะเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต ที่นครโฮจิมินห์ เวียดนาม ซึ่งที่เวียดนามนั้นเวลาจะเท่ากับเมืองไทยครับ แต่ด้วยความที่ประเทศเขาอยู่ทางตะวันออกของบ้านเรา ดังนั้นที่นี่พระอาทิตย์จะขึ้นและตกเร็วกว่าบ้านเราประมาณ ครึ่งชั่วโมงครับ
สำหรับสกุลเงินนั้นที่เวียดนามจะใช้เงินสกุล ดง หรือ ดอง หรือ ด่อง (แล้วแต่จะออกเสียงครับ) ซึ่งอัตรา ณ วันที่ผมไปผมแลกเงินจาก Grand Super Rich ไปอยู่ที่ 1000 ดง : 1.62 บาทครับ แต่อีกวิธีหนึ่งที่จะได้เรทที่ค่อนข้างดีคือให้เราแลกเป็นเงิน US มาแล้วค่อยนำมาแลกเป็นเงินดงที่เวียดนามอีกครั้งครับ
ส่วนเรื่องการติดต่อสื่อสารนั้นที่บริเวณทางออกสนามบินจะมีเค้าท์เตอร์ขายซิม สามารถมาเลือกซื้อได้ครับ ซึ่งที่ผมไปเวียดนามครั้งนี้ผมใช้ซิมของ Mobifone ครับราคาประมาณ 200,000 ดง หรือประมาณ 320 บาทครับ ซึ่งปกติแล้วเวลาได้ซิมมามือถือเราจะเป็นโปรมาตรฐานนะครับ ซึ่งมันจะคิดเงินตามการใช้งานซึ่งแพงครับ ดังนั้นเมื่อเปิดเบอร์แล้วให้เราส่ง SMS เพื่อสมัครโปรโมชั่นตามที่ต้องการครับ ซึ่งสามารถดูโปรโมชั่นได้จากที่นี่เลยครับ โปรโมชั่น Mobifone
Hotel Pullman Saigon Centre – ที่สุดแห่งความสะดวกสบายในการเดินทาง
สำหรับทริป Somewhere in Time นี้นกแอร์จัดให้ผมได้พักที่โรงแรม Hotel Pullman Saigon Centre ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวแล้ว ยังอยู่ในทำเลที่ดีทีเดียวครับใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวในเขต 1 ผมได้ทำรีวิวสั้นๆไว้ที่นี่แล้วครับ สามารถไปอ่านกันได้ครับ Hotel Pullman Saigon Centre @ Ho Chi Minh, VIETNAM
ซึ่งหากเพื่อนๆสนใจจะจองโรงแรมนี้ก็สามารถตรวจสอบราคาได้ที่นี่เลยครับ
Agoda.com – โรงแรมพูลแมน ไซง่อน เซ็นเตอร์
Expedia.co.th – โรงแรมพูลแมน ไซง่อน เซ็นเตอร์
Voucher Code ลด 10% สำหรับ Expedia.co.th
KBANKEXPHOTEL4
KTCEXP10
KTCEXP1502
เดินชมกลิ่นอายแห่งสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส เฟร้นช์โคโลเนียลที่เขต 1 ศูนย์กลางนคร “โฮจิมินห์”
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในโฮจิมินห์นั้น ส่วนมากแล้วจะอยู่ในเขตกลางเมืองหรือเรียกกันว่าเขต 1 (โฮจิมินห์ มีการแบ่งโซนเมืองเป็นเขตต่างๆเหมือนมหานครปารีสครับ) ซึ่งแต่ละจุดล้วนเดินถึงกันได้หมด โดยแต่ละที่ห่างกันไม่เกิน 500 เมตร ซึ่งถ้าเราใช้วิธีเดินเที่ยวทั้งวัน ก็เดินเพียง 5-6 กิโลเมตรเท่านั้นเองครับ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆพร้อมพิกัดผม List ไว้ให้ตรงนี้เลยครับ เพื่อนๆจะได้เอาไปใช้กันง่ายๆครับ
- Hotel Pullman Saigon Centre : 10.764430, 106.691917
- Notre Dame Cathedral : 10.779765, 106.699026
- Saigon Central Post Office : 10.779488, 106.699987
- Saigon Opera House : 10.776994, 106.703477
- Ho Chi Minh City Hall / จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue): 10.777024, 106.701149
- Bitexco Financial Tower : 10.771642, 106.704475
- Ben Thanh Market : 10.772440, 106.697809
- Ho Chi Minh Museum : 10.768261, 106.706825
- Ho Chi Minh City Museum : 10.775970, 106.699589
- Ho Chi Minh Fine Arts Museum : 10.769657, 106.699345
- The Golden Dragon Water Puppet Theater : 10.776362, 106.692574
- The Independence Palace : 10.778587, 106.696838
- HCMC Archbishop Residence : 10.779193, 106.690701
ซึ่งอาคารที่เป็นสมัยเก่าส่วนมากจะถูกออกแบบและสร้างขึ้นมาในช่วงที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง เราจึงเรียกอาคารเหล่านี้ว่า เฟร้นช์โคโลเนียล คำว่าโคโลเนียล หมายถึงการนำสถาปัตยกรรมของตัวเอง(ฝรั่งเศส)ไปสร้างในดินแดนอาณานิคม ซึ่งบางครั้งเราอาจจะเรียกว่าสถาปัตยกรรมอาณานิคมก็ได้ครับ
โบสถ์นอร์ทเธอดาม : Saigon Notre-Dame Cathedral
ที่แรกที่ผมมาเดินเล่นคือ มหาวิหารนอร์ทเธอดาม ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เป็น Cathedral หรือโบสถ์ที่มีอาร์คบิชอฟ ผู้ซึ่งมีฐานะที่มีสิทธิ์จะถูกเลือกเป็นโป๊ป (ผู้นำสูงสุดได้ในอนาคตของคริสตจักร โรมันคาทอลิก) ในอนาคตได้นั่นเอง มหาวิหารนอร์ทเธอดาม เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1877 หรือเกือบ 140 ปีที่แล้วใช้เวลาสร้างนานถึง 6 ปีว่ากันว่าวัสดุที่ใช้สร้างมหาวิหารแห่งนี้นำเข้าจากฝรั่งเศสทั้งหมด ตัวโบสถ์ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอโรมัน
มหาวิหารนอร์ทเธอดามเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเดินเข้าไปชมภายในได้ถึง 11 โมง แต่ก็ไม่ได้เปิดให้เข้าไปนั่ง หรือ ประกอบพิธีใดๆ เหมือนโบสถ์ในยุโรปครับ ซึ่งจุดเด่นของโบสถ์นี้คือหอคอยคู่ที่สูงกว่า 40 เมตร แต่การตกแต่งภายในด้วย Stained glass ซึ่งปกติจะเป็นจุดเด่นของโบสถ์นั้น ที่มหาวิหารแห่งนี้มีไม่มากครับ เนื่องจากได้รับความเสียหายครั้งเกิดสงครามนั่นเองครับ
ที่ทำการไปรษณีย์กลางแห่งนครโฮจิมินห์ (General Post Office)
ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิหารนอร์ทเธอดามก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังคงกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส หรือเฟร้นช์โคโลเนียล นั่นก็คือที่ทำการไปรษณีย์กลางแห่งนครโฮจิมินห์ (General Post Office) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิค ซึ่งหนึ่งในสามผู้ออกแบบอาคารแห่งนี้คือ Gustaf Eiffel ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอคอยไอเฟลในมหานครปารีสนั่นเอง
โรงละครยาฮดแถงห์โฝ (Saigon Opera House)
เดินต่อมาไม่ไกลก็เจอกับอาคารอีกแห่งหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดีนั่นคือโรงละครหรือ Opera House ครับในสมัยก่อนที่มีชาวฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเมือง บุคคลเหล่านั้นก็หาความบันเทิงจากการเข้ามาชมละครที่โรงละครโอเปร่านี่ล่ะครับ ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถมาถ่ายภาพตอนกลางคืนได้อย่างงามเลยครับ บริเวณนี้ปัจจุบันกำลังมีการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินโดยความร่วมมือระหว่างเวียดนามและญี่ปุ่นครับ อีกไม่นานนครโฮจิมินห์ก็จะมีรถไฟฟ้าไว้ใช้กันล่ะครับ
ศาลาว่าการเมือง (Ho Chi Minh City Hall) / สภาประชาชน (People’s Commottee Building)
เดินจาก Opera House มาไม่ไกลแค่ 200 เมตรเราก็จะมาเจอกับอีกหนึ่งอาคารที่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียลคือ ศาลาว่าการเมือง หรือสภาประชาชน ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1902 จนกระทั่งหลังเวียดนามได้รับเอกราชแล้ว ต่อมาในปี 1975 ที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสภาประชาชน ซึ่งก็มาจากอิทธิพลจากการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์นั่นเอง (เราจะพบสภาประชาชนหลายแห่งในเมืองจีนที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์เช่นกันครับ)
ด้านหน้าของของสภาประชาชนนี้จะเป็น จตุรัสโฮจิมินห์ ซึ่งมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์อยู่ และที่จตุรัสแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชาวเมือง เวลามีจัดงานจัดกิจกรรมก็จะมีผู้คนมารวมตัวกันที่นี่ ช่วงกลางวันก็จะมีนักท่องเที่ยวและคู่แต่งงานมาเดินถ่ายรูป Pre-Wedding กัน ส่วนกลางคืนจะเป็นช่วงเวลาที่หนุ่มสาวชาวเหงียนออกมาเดินเล่นชิวๆกันครับ
Saigon Skydesk @ Bitexco Financial Tower
สุดปลายจตุรัสจะมีตึกๆหนึ่งซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโฮจิมินห์ที่พึ่งเปิดเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันใกล้ๆกันมีการสร้างตึก Landmark 81 ซึ่งมีกำหนดเสร็จในปี 2017 และหลังเปิดใช้ตึกนั้นจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในนครโฮจิมินห์แทนตึกนี้ครับ ตึก Bitexco สูง 68 ชั้น แต่ Saigon Skydesk จุดที่สามารถชมวิวได้จะอยู่ที่ชั้น 49 ซึ่งอยู่ใต้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ตึกนี้ค่าขึ้นอยู่ที่ 200,000 ดงครับ ที่จุดชมวิวสามารถใช้ขาตั้งกล้องได้ซึ่งจากตึกสามารถถ่ายไปฝั่งเมืองช่วงพระอาทิตย์ตกได้สวยงามเลยครับ
ที่ฝั่งตรงข้ามตึกนี้จะมีร้านขนมปังที่ไม่ควรพลาดคือร้าน Nhu Lan ครับจะเป็นขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสหรือ “บาแก็ต” (Baguette) ซึ่งจะเป็นขนมปังแบบแข็งๆครับ ซึ่งถ้ามากินเล่นๆก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยครับ แต่สำหรับผมให้กินทุกวันนี่ขอบาย เพราะผิวขนมปังจะแข็งและแห้งบาดเหงือกเอาเรื่องเลย 5555
ตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) ศูนย์กลางการค้าขายของชาวโฮจิมินห์
จุดสุดท้ายของอาคารที่ถูกสร้างในช่วงฝรั่งเศสเข้ามาปกครองที่ผมได้มาเดินเที่ยวในครั้งนี้ก็คือ ตลาดเบนถั่น ตลาดแห่งนี้เคยเป็นแหล่งซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในนครโฮจิมินห์ สร้างมาตั้งแต่ปี 1870 ด้านหน้าตลาดจะเป็นวงเวียนโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นอีกจุดที่รถแล่นไปมาหนาแน่นมาก ใครมาข้ามถนนที่นี่ต้องจิตแข็ง และระมัดระวังประมาณหนึ่งเลยครับ ปกติแล้วการข้ามถนนที่เวียดนาม ถ้าอยู่ในจุดข้ามแล้วให้เราเดินข้ามไปเลย รถที่แล่นไปมาบนถนนจะขับหลบเราเอง อย่าไปยึกๆยักๆกลางถนน เพราะถ้าทำอย่างนั้นคนเวียดนามเขาจะงง และเราอาจจะถูกชนได้ครับ
ส่วนตัวแล้วผมว่าที่นี่มาเดินเที่ยวก็อารมณ์เราไปหาดใหญ่แล้วไปเดินเล่นที่ตลาดกิมหยงครับ ซึ่งของที่เป็นที่นิยมในการมาช้อปปิ้งที่นี่จะเป็นพวกสิ่งทอ อาทิ เสื้อผ้า รองเท้า เป้ และพวกของแกะสลักงานไม้ต่างๆครับ ภายในตลาดร้านเยอะมาก บางจุดอาจจะคับแคบต้องระวังเรื่องมิจฉาชีพซักนิดครับ
อาหารเวียดนาม 3 ร้าน 3 สไตล์
ไหนๆก็มาเที่ยวที่เวียดนามทั้งทีถ้าจะไม่กินอาหารเวียดนามคงผิดมิใช่น้อย นกแอร์เลยจัดให้ผมได้กินอาหารเวียดนาม 3 ร้าน 3 สไตล์กันเลยครับ ทั้งอาหารเวียดนามสามัญชน อาหารเวียดนามดั้งเดิม และอาหารเวียดนามแบบฟิวชั่นครับ มีอะไรที่ไหนลองไปดูกันครับ
An Vietnamese Bistro – อาหารเวียดนามสไตล์ดั้งเดิม
สำหรับร้านอาหาร AN Vietnamese Bistro นั้นตั้งอยู่ติดกับจตุรัสโฮจิมินห์เลยครับ ที่พิกัด 10.774401, 106.704187 ซึ่งเห็นว่าเป็นร้านอาหารก็จริงแต่ราคาถือว่าโอเคสำหรับค่าครองชีพของคนไทยเลยครับ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 – 160,000 ดงหรือตกจานละ 150-200 บาทเท่านั้นครับ ซึ่งผมว่าถูกกว่าร้านอาหารในไทยหลายๆร้านด้วยซ้ำไป ตัวร้านก็ตกแต่งสวยงามดูดีมีเอกลักษณ์ดีครับ
มาดูอาหารกันบ้างครับ จัดเต็มมากๆเลยทีเดียว 5555 ตัวที่เค้าว่ามันเด็ดคือหอยครับ ผมจำไม่ได้ว่าหอยอะไร แต่เค้าจะเอาตัวหอยออกมาปรุงรสกับหมู แล้วยัดกลับเข้าไปเป็นหอยยัดไส้ ทางร้านเขาบอกว่าอาหารเมนูนี้สมัยก่อนเป็นเมนูของชนชั้นสูงเท่านั้นครับ ส่วนอาหารอย่างอื่นๆก็อร่อยรสชาติดีทีเดียว อาหารเวียดนามที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือ ผัก ทุกจานจะมีผักมาแกล้มให้เราห่อกับอาหาร ถึงว่าซิดูคนบ้านเค้าดูหุ่นดีกันทั้งนั้น 5555
ร้านกวานบุ่ย (Quan Bui) – อาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่น
ร้านที่สองที่ นกแอร์ จัดให้มาลองทานกันดูคือ ร้านกวานบุ่ย ซึ่งเป็นร้านอาหารเวียดนามสไตล์ฟิวชั่นครับ ร้านนี้จะอยู่ไกลออกจากกลางเมืองไปนิดหนึ่งครับ แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก พิกัดนี้เลยครับ 10.781289, 106.705922 ประมาณ 500 เมตรจากโรงละครโอเปร่าเฮ้าส์ (แต่นั่งรถไปจะค่อนข้างนานเพราะรถติดครับ) ช่วงที่ไปที่นี่ฝนตกครับ เลยไม่ได้ถ่ายรูปร้านภายนอกมา ภายในร้านพื้นที่ไม่กว้างมากเท่าไหร่ วันที่ไปเจ้าของร้านที่เป็นชาวฝรั่งเศสออกมาคุยด้วยครับ
อาหารที่ออกมาเสิร์ฟถ้าไม่บอกนี่แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นอาหารเวียดนาม เพราะมันฟิวชั่นมว๊ากกก อาทิ ยำส้มโอกุ้ง ปูนิ่มทอดราดซอสเสาวรส ที่ดูว่าจะเป็นอาหารเวียดนามชัดหน่อยก็ปอเปี๊ยะทอดครับ
ร้าน Nha Hang Ngon- อาหารเวียดนามแบบปัจจุบัน
ร้านสุดท้ายที่เป็นร้านที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวคือร้าน Nha Hang Ngon อยู่ที่พิกัด 10.777409, 106.699714 ซึ่งอยู่ด้านหลังของสภาประชาชนนั่นเอง จุดเด่นของร้านนี้คือตัวร้านเป็นอาคารดั้งเดิมที่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียล บรรยากาศในร้านดีมากๆครับ
สำหรับอาหารที่นี่จะมีหลากหลายมาก และที่เด็ดคือที่นี่เขาจะเป็นซุ้มขายอาหาร แบบให้เราไปดูกรรมวิธีในการทำได้เลย สั่งเสร็จเค้าจะเอาเสิร์ฟที่โต๊ะและเก็บเงินเลยครับ
แน่นอนอาหารที่กินกันก็จัดเต็มอีกตามเคยครับ ที่ผมอยากให้ลองทานกันดูคือ ก๋วยเตี๋ยว ไม่ใช่เฝอนะครับ ตัวน้ำซุปเค้าจะใส่ปลาร้าของเวียดนาม แต่ผมลองชิมแล้วไม่มีกลิ่นเลยครับ และน้ำซุปหวานมาก และอีกอย่างที่อร่อยคือ ขนมหวานที่เป็นเหมือนลอดช่องนั่นล่ะครับตัวทีเด็ดเลย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นร้านอาหารเวียดนาม 3 ร้าน 3 สไตล์ที่ผมได้มีโอกาสไปลองชิมมาในทริป Somewhere in Time ผมก็แนะนำเพื่อนๆว่าให้ลองไปชิมดูครับ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกซักนิดแทนที่จะกินแต่เฝออย่างเดียวรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนครับ
3 สุดยอดพิพิธภัณฑ์ที่ต้องไปใน “โฮจิมินห์”
ที่โฮจิมินห์ด้วยความที่ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสมาอย่างมาก ทำให้ได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องพิพิธภัณฑ์มาด้วย ทำให้แหล่งท่องเที่ยวในเมืองนี้มีพิพิธภัณฑ์เข้ามาเป็นรายการที่ต้องไปเที่ยว ซึ่งในทริปนี้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มา 3 แห่งครับ มีอะไรบ้างมาดูกัน
บ้านมังกร พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum)
ที่นครโฮจิมินห์นั้นแต่เดิมทีเดียวชื่อว่าเมืองไซง่อน แต่ได้รับการเปลี่ยนเป็นโฮจิมินห์ เพื่อเป็นเกียรติให้กับอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในการประกาศเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ถึงกับมีการสร้างพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์เพื่อเป็นที่สำหรับศึกษาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของลุงโฮเลยทีเดียวครับ
สำหรับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์นั้นตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำไซง่อนและแม่น้ำเบนเหง่ สมัยก่อนอาคารแห่งนี้มีความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการเดินเรือของเวียดนาม ซึ่งการเดินเรือนี้ก็เป็นวิธีที่ลุงโฮได้เดินทางจากเวียดนามไปยังฝรั่งเศสในอดีตเพื่อเป็นการไปหาข้อมูลของประเทศฝรั่งเศส เพื่อนำมาใช้ประกอบในการกอบกู้เอกราชของเวียดนามด้วยครับ (อารมณ์ รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งนั่นล่ะครับ)
ที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์แห่งนี้ก็จะมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับลุงโฮครับ แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการประกาศเอกราชจากการเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสนั่นล่ะครับ ที่นี่มีใบแถลงการณ์ และไมค์ที่ลุงโฮใช้ประกาศเอกราชอยู่ด้วยครับ
พิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ (Museum of HO CHI MINH City)
พิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่น่าสนใจในนครโฮจิมินห์ก็คือพิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ครับ ชื่อคล้ายๆแต่คนล่ะที่กับพิพิธภัณฑ์ลุงโฮนะครับ ที่นี่เป็นอาคารแบบเฟร้นช์โคโลเนียลเช่นกัน ในสมัยก่อนเป็นอาคารที่ใช้ในเรื่องการจัดแสดงสินค้าของเวียดนามก่อนที่จะกลายมาเป็น สถานที่พำนักของข้าหลวงใหญ่แห่งโคชินไชน่า ปัจจุบันที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ ซึ่งจะแสดงโบราณวัตถุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับนครไซง่อนในอดีตครับ
พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Fine Art MUSEUM)
ที่สุดท้ายและเป็นที่ที่ผมประทับใจมากที่สุดในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่ง (ปกติผมเป็นคนไม่ชอบเดินพิพิธภัณฑ์เลยครับ) คือที่นี่ครับ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวอาคารเป็นอาคารเก่าแก่แบบเฟร้นช์โคโลเนียลที่นำมาปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดให้เข้าชมภายในครับ ซึ่งตัวอาคารและสถาปัตยกรรมที่นี่ถือว่าสวยงามมากครับ ที่นี่จะมีอาคารหลักอยู่สองอาคารครับ อาคารแรกอยู่ทางด้านซ้ายสุดหลังจากเข้ารั้วมาจะเป็นอาคารแสดงเกี่ยวกับโบราณวัตถุยุคอาณาจักรจามปาครับ มีทั้งรูปปั้น เซรามิค และงานไม้แกะสลักครับ รูปไม้แกะสลักเค้าว่ากันว่าเป็นรูปไม้แกะสลักที่มีความคล้ายคลึงทรวดทรงของผู้หญิงมากที่สุดครับ
แต่ส่วนที่ผมชอบที่สุดของที่อาคารนี้คือสถาปัตยกรรมภายในครับที่ผมว่ามันสวยงามอ่อนช้อยมากๆ ตัวบันไดเวียนก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นยุโรปได้อย่างดีเลยครับ
สำหรับอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (FINE ART MUSEUM) จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเดียวกัน สมัยก่อนที่นี่เป็นที่สำเร็จราชการแผ่นดินของผู้ที่มาปกครองโฮจิมินห์ครับ และที่นี่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดในโฮจิมินห์อีกด้วยครับ
ที่อาคารนี้จะเน้นการจัดแสดงพวกศิลปะสมัยใหม่ทั้งภาพวาด ภาพเขียน และประติมากรรมต่างๆ ส่วนตัวแล้วผมเฉยๆ ไม่อินเลยครับ 555 และที่นี่เค้าจะมีมุมให้เด็กๆมานั่งวาดรูปเล่นด้วยครับ น่ารักดี ผมเห็นมาภาพบางภาพที่เป็นเด็กวาดถูกเอาไปติดแสดงด้วยครับ
ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบที่นี่เพราะความสวยงามของสถาปัตยกรรมของอาคารที่นี่ สมแล้วที่ที่นี่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นอาคารที่หรูหราที่สุดในโฮจิมินห์ครับ
2 ร้านกาแฟฮิปๆกลางกรุงโฮจิมินห์
หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ช่วงบ่ายๆเสร็จแล้ว ในช่วงที่อยู่ที่โฮจิมินห์ 3 วันนั้น ผมมีโอกาสแวะไปชิมกาแฟมา 2 ร้านครับคือร้าน Workshop และร้าน M2C Cafe ครับ
สำหรับร้าน Workshop เป็นร้านที่กิ๋บเก๋ร้านหนึ่งที่นำตึกเก่าแบบดั้งเดิมที่ตัวอาคารในปัจจุบันยังคงสภาพเดิมแบบดิบๆอยู่มาเป็นร้านกาแฟครับ
ร้านนี้จะเป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟอราบิก้ามาก โดยที่นี่จะใช้เมล็ดกาแฟที่ได้จากเมืองดาลัค ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่บนที่สูงที่มีอากาศเหมาะกับการปลูกกาแฟอราบิก้าเป็นอย่างดี และที่เด็ดที่สุดของร้านนี้คือนอกจากจะชงกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟแล้ว ที่นี่ยังมีการชงกาแฟอีกหลายแบบครับ ซึ่งเขาจะมีการชงสดๆให้เราชมกันเลยครับ วันที่ผมไปผมได้ชิมกาแฟแบบ V60 และ Syphon ครับ แบบ Syphone นั้นจะมีรสชาติที่เข้มกว่าครับ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้จะได้กาแฟสดๆมาเป็นชอตครับสนนราคาจะแพงกว่าทำจากเครื่องชงกาแฟประมาณ 2$ ครับ
ส่วนร้านที่สองที่ผมได้ไปนั่งจิบกาแฟยามบ่ายคือร้าน M2C Cafe ร้านนี้เป็นร้านที่เอาอาคารใหม่ มาพยายามตกแต่งให้ดูเป็นอาคารเก่าๆ โดยตกแต่งแบบผสมผสานความสมัยใหม่เข้าไป ซึ่งบรรยากาศก็ใช้ได้เลย แต่ส่วนตัวผมชอบร้าน Workshop มากกว่าด้วยสถานที่และแสงไฟ ผมว่าไปนั่งเล่นนั่งทำงานอ่านหนังสือได้ชิวกว่าครับ
ที่ M2C Cafe เองก็มีสาธิตการชงกาแฟเช่นกัน แต่จุดเด่นของที่นี่จะเป็นการชงกาแฟในรูปแบบเวียดนาม ซึ่งต่างจากร้าน Workshop ที่เป็นกาแฟในรูปแบบตะวันตก ที่นี่ผมได้ลองชิมขนมดูด้วย ผมว่าเค้กของเขาเฉยๆครับ แตที่อร่อยคือขนมต้มครับ
ชมศิลปะประจำชาติเวียดนาม “หุ่นกระบอกน้ำ”
ช่วงเย็นของคืนวันที่สองผมได้มีโอกาสไปชมการแสดงประจำชาติของเวียดนามมา นั่นคือการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ หรือที่เรียกว่า Water Puppet Show ซึ่งครั้งนี้นกแอร์ได้พาผมไปที่โรงละคร The Golden Dragon Water Puppet Theater ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆในเขต 1 นั่นล่ะครับ
การแสดงจะเป็นมีคนเล่นดนตรีและพากษ์เสียง พร้อมกับมีการเชิดหุ่นกระบอกในน้ำ ซึ่งการแสดงจะมีทั้งหมด 17 ชุดเป็นการเล่าเรื่องวิถีชีวิตของชาวเวียดนามและพูดถึงสัตว์มงคล 4 อย่างคือ มังกร เต่า ยูนิคอร์น และ นกฟีนิกส์ ที่นี่เขาห้ามตั้งกล้องถ่ายวิดีโอนะครับ (เค้าคงกลัวพวกหนังซูม 555) จริงๆแล้วไกด์บอกมาด้วยว่าเค้าห้ามถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน แต่วันที่ไปผู้ชมในโรงละคนทุกคนก็ล้วนถ่ายรูปครับ ผมเลยถ่ายมาด้วย
ปล. ผมเห็นมีคนโหลดวิดีโอการแสดงแบบเต็มไว้ใน Youtube ด้วย 555
ชิมอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับที่ร้าน The Refinery
คืนสุดท้ายของการเดินทางนกแอร์ได้พาผมไปชิมอาหารแบบฝรั่งเศสแท้ๆที่ร้านอาหาร The Refinery ซึ่งตั้งอยู่ที่พิกัด 10.777968, 106.703853 หรืออยู่ห่างจาก Opera House เพียง 100 เมตรครับ
อาหารนั้นก็ถูกจัดมาเป็นคอร์สตามสไตล์อาหารตะวันตก ของผมเริ่มจาก Frisee aux Lardons และตามด้วย Main Course เป็นเนื้อ Rib-Eye ย่างครับ และตบท้ายของหวานเป็น The Refinery Frozen Cheesecake ครับ มื้อนี้อร่อยมว๊ากกกกกกกก
และก่อนจบมื้อนี้ นกแอร์ ได้มีการเซอร์ไพรส์ผมด้วยเค้กวันเกิด เพราะเดือนนี้เป็นเดือนเกิดของผมพอดี นกแอร์ เลยจัดเซอร์ไพรส์ให้ผมกับเพื่อนๆที่เกิดในเดือนนี้รวม 6 คนครับ ต้องขอขอบคุณนกแอร์มา ณ ที่นี้จริงๆครับ
บ๊ายบายเวียดนาม บ๊ายบายโฮจิมินห์ จนกว่าจะได้พบกันใหม่
ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่ที่ผมได้ไปเที่ยวมาในช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนที่นครโฮจิมินห์กับทริป Somewhere in Time ผมต้องขอขอบคุณ นกแอร์ ได้จัดทริปดีๆ ที่ได้พาคณะสื่อมวลชนมาสัมผัสนครโฮจิมินห์กัน สำหรับวันกลับผมนั่งเครื่องไฟลท์ DD3219 ซึ่งกลับจากโฮจิมินห์ตอน 20:45 มาถึงดอนเมืองตอน 22:20 อย่างตรงเวลาเลยครับ
ส่วนตัวแล้วนครโฮจิมินห์มีอะไรมากกว่าที่ผมคิดไว้ตอนแรกเยอะมาก และด้วยความที่นครแห่งนี้เคยเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศสมาก่อนทำให้เมืองแห่งนี้มีกลิ่นอายของทางตะวันตกอยู่มาก ซึ่งสำหรับคนที่ชอบท่องเที่ยวและถ่ายภาพเมืองแนวสถาปัตยกรรมแบบผม ผมว่ามันมีอะไรให้ค้นหามากทีเดียวครับ
นอกจากนั้นที่ใกล้ๆนครโฮจิมินห์ยังมีที่เที่ยวอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาลัค หรือทะเลทรายมุยเน่ ที่เพื่อนๆผมอยู่ต่อแล้วไปเที่ยวกัน ซึ่งน่าเสียดายที่ครั้งนี้ผมติดธุระในวันรุ่งขึ้นเลยไม่มีเวลาที่จะไปกับเพื่อนๆ ดังนั้นแล้วสำหรับผมคงจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนนครโฮจิมินห์แห่งนี้อีกครั้งเป็นแน่ครับ และยิ่งตั้งแต่ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปนกแอร์จะมีตารางบิน ดอนเมือง – โฮจิมินห์ถึงวันละ 2 เที่ยวเช้าเย็น ซึ่งมันสะดวกมากๆในการเดินทางมาเที่ยวครับ
ไว้เร็วๆนี้ผมจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งแน่นอน สำหรับวันนี้ก็ขอจบทริป Somewhere in Time ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามกันด้วยดีเสมอมา สวัสดีครับ