Sep-2014
ชีวิตที่เป็นไปในดินแดนปลายด้ามขวาน: สงขลา ปัตตานี พัทลุง
ชีวิตที่เป็นไปในดินแดนปลายด้ามขวาน
สงขลา ปัตตานี พัทลุง
สวัสดีครับเพื่อนๆ เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงไปทางจังหวัดชายแดนภาคใต้มาครับเนื่องจากไปเป็นวิทยากรสอนเรื่อง Photo Stock ให้น้องๆที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มาครับเลยได้มีโอกาสไปเที่ยวเดินเล่นถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆกันครับ
โดยทริปนี้ผมได้ไปมา 3 จังหวัดคือ สงขลา(หาดใหญ่) ปัตตานี และพัทลุงครับสำหรับการเดินทางเพื่อนผมที่เป็นอาจารย์ที่ปัตตานีเป็นคนจองตั๋วให้ครับโดยขาไปเดินทางด้วย Air Asia แลล้วขากลับเดินทางด้วย Thai Smile ครับ ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกปีมันจะมีโปรครับ โดยราคาต่อขาตกราวๆ 1,000 บาทเท่านั้นครับโดยเครื่องจะไปลงที่สนามบินหาดใหญ่ครับ เอาหล่ะครับไม่เกริ่นมากให้มากความไปเที่ยวพร้อมๆกันเลยดีกว่าครับ
ว่าด้วยการเดินทาง
สำหรับทริปนี้ตอนแรกคุณเพื่อนผมจะขับรถมารับมาส่งตลอดทริปครับ แต่เกิดปัญหาเล็กน้อยหลังจากจองตั๋วไปแล้วคือเพื่อนผมมีตารางต้องสอนแทรกขึ้นมาวันที่เค้าจะไปรับผมพอดี ซึ่งแน่นอนตั๋วโปรมันไม่สามารถเลื่อนไฟลท์ได้ครับ ดังนั้นในวันแรก ผมจะต้องเที่ยวที่หาดใหญ่เองครับ ซึ่งจริงๆแล้วที่สนามบินหาดใหญ่นั้นจะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่และมีพวกรถตู้เข้าเมืองครับ แต่ด้วยความที่ว่าผมแพลนจะออกไปถ่ายรูปมัสยิดกลางจังหวัดสงขลา ซึ่งอยู่นอกตัวเมืองออกไปผมจึงต้องเช่ารถขับแทนครับ ซึ่งการที่จองรถล่วงหน้าไม่นาน ผมจึงเลือกใช้บริการจาก Agency เอาครับ
ซึ่งผมเห็นโฆษณาของ “บินแล้วขับ” ของ แอร์เอเชียช่วงที่ผมไป ฮ่องกง พอดีครับ เลยขอลองเสียหน่อยว่ามันเป็นยังไงบ้าง จากหน้า Confirm ตั๋วมันจะมี Link ให้กดเข้าไปครับแต่ที่ผมไปดูหน้าเว็บของ Air Asia ตอนนี้ที่หน้าเว็บหลักก็มีให้เลือกได้เลยแล้วเหมือนกันครับ
ระบุสถานที่ที่เราจะรับและคืนรถ รวมถึงวันเวลาในการคืนรถครับ ซึ่งการคิดราคาก็เหมือนบริษัทรถเช่าทั่วไปคือคิดเป็นรอบ 24 ชม.ครับ
จากนั้นระบบจะโชว์รถที่มีว่างในวันดังกล่าวมาให้ครับ
ซึ่งผมไม่ได้ขับไปไหนไกลมาเลยเลือดเป็น Eco car ครับเพราะถูกสุด 555 (รอบนี้ผมได้รถของ Sixth ครับ)กรอกข้อมูลทั่วไปให้ครบ และชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิตครับ อ้อราคาจะรวมค่าบริการทุกอย่างยกเว้นประกันชั้น 1 แล้วครับ ซึ่งประกันนั้นสามารถไปซื้อเพิ่มที่หน้าเค้าท์เตอร์ได้นะครับ
หลังจากนั้นเราก็จะได้อีเมล์ Confirm ครับ
ว่าด้วยเรื่องที่พัก
สำหรับที่พักแล้ว ที่ปัตตานีผมไปพักที่หอพักอาจารย์ของเพื่อนครับ ส่วนที่พัทลุงก็ไปพักที่บ้านเพื่อนอีกคนครับ แต่ผมต้องหาที่พักที่หาดใหญ่เองในวันที่เพื่อนผมติดงานพอดีครับ โดยรอบนี้ผมเลือกที่จะพักย่านกลางเมือง โดยเลือกพักที่ ลีการ์เดน ครับเป็นตึกสูงกลางเมือง และใกล้ตลาดกิมหยงครับ โดยผมจองตรงกับเว็บไซต์ของ ลีการ์เดน เลยถ้าจำไม่ผิดคืนละประมาณ 1,000 บาทครับ ผมได้พักชั้นที่ 12 ครับ อันนี้เป็นวิวจากห้องพักครับ
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้
- เว็บไซต์โรงแรม
- เช็คราคาและจองที่พักผ่าน expedia.co.th
- เช็คราคาและจองที่พักผ่าน Agoda.com
Voucher Code ลด 10% ของ expedia.co.th
เหินฟ้าสู่หาดใหญ่
ไฟลท์ที่ผมไปรอบนี้ได้เป็น Bus Gate ครับ
เดินทางไฟล์ทสายๆนิดนึง นึกว่าคนจะไม่เยอะ แต่ไม่ครับคนเยอะน่าดูเลย
ผมชอบบัสเกทอย่างนึงคือได้ใกล้ชิดกับเครื่องบินดีครับ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1:30 ชม. ก็ถึงสนามบินหาดใหญ่ครับ รับกระเป๋าเรียบร้อยก็ออกมารับรถที่เค้าท์เตอร์ได้เลยครับ
หลังจากที่ได้ลองผมว่า Brio คันนี้ไม่เลวเลยครับ การขับในเมืองคล่องตัวดีครับ เครื่องยนต์สามารถเร่งได้ไม่เลว แต่ถ้าขับถนนใหญ่แบบพวกถนนข้ามเมือง รู้สึกว่ารถมันเบาๆ ลอยๆไปนิดนึง แต่ก็นะรถ Eco Car นี่นา
ไก่ทอดเดชา
หลังจากรับรถเรียบร้อย ผมก็เริ่มทริปด้วยการกินครับ 555 โดยมีเป้าหมายที่ร้านไก่ทอดเดชาครับ อยู่ที่ ถนนชีอุทิศครับ พิกัด GPS ตามนี้เลยครับ 7.003959, 100.473817
มาคนเดียวสั่งได้ไม่เยอะ (แต่ก็สั่งไปซะ 3 อย่าง 555) มีส้มตำ ไก่ทอด และ เนื้อย่างครับ
เรื่องรสชาติก็ใช้ได้นะ แต่ราคาแอบรู้สึกว่าแพงไปนิดนึงครับทั้งหมดนี้ประมาณสองร้อยกว่าๆครับ ทานเสร็จก็เข้าโรงแรมครับพักแว๊บนึงเตรียมตัวออกไปถ่ายภาพมัสยิดกลางครับ
มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา
มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม หรือเรียกสั้นๆว่า มัสยิดกลางสงขลา ตั้งอยู่ที่ ถนนลพบุรีราเมศวร์
ซึ่งเป็นถนนเลี่ยงเมืองเชื่อมหาดใหญ่ และอำเภอเมืองจังหวัดสงขลาครับ สำหรับมัสยิดกลางฯ นั้นปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ด้วยครับ ซึ่งหากหาใน Google map ให้ค้นด้วย สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา นะครับ เพราะถ้าพิมพ์ มัสยิดกลางสงขลา นั้นมันจะพาไปมัสยิดหลังเก่าครับ พิกัด GPS จะอยู่ที่ 7.075875, 100.491415 ซึ่งจะอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กม.ครับ
มัสยิดนั้นเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมครับ โดยมัสยิดกลางจังหวัดสงขลานั้นถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ มัสยิดแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย”
ยิ่งตอนค่ำๆ ยิ่งสวยครับ
ที่มัสยิดตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่โดยรอบนะครับ ซึ่งเค้าว่ากันว่าถ้าทำเสร็จเมื่อไหร่จะมีสภาพพื้นที่ประหนึ่งเป็นทัชมาฮาลเลยครับ ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ หลังจากถ่ายภาพเสร็จผมก็กลับโรแรมและหาอะไรทานแถวๆนั้นครับ
ตลาดกิมหยง
สาเหตุหนึ่งที่ผมเลือกที่พักที่โรงแรม ลีการ์เดนก็เพราะว่าอยู่กลางเมืองและใกล้ตลาดกิมหยงครับ ตลาดกิมหยงเป็นเหมือนศูนย์กลางการค้าขายในหาดใหญ่ ทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชนจำนวนมาล้วนมาจับจ่ายใช้สอยกันที่นี่ครับสำหรับคนที่จะมาที่ตลาดอาจจะหาที่จอดยากซักเล็กน้อยนะครับ แต่ผมเดินมาเลยไม่มีปัญหาครับ
บรรยากาศรอบๆตลาดครับ
พระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพไตรมงคล
หลังจากเดินเล่นที่ตลาดกิมหยงเสร็จผมก็กลับมาเอารถไปคืนที่สนามบินแล้วก็รอคุณเพื่อนมารับเพื่อเดินทางต่อไปยังปัตตานีครับ ซึ่งระหว่างทางไปผมได้แวะไปที่พระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพไตรมงคล หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าวัดสแตนเลสครับ ซึ่งจากตัวเมืองก็ไม่ไกลครับ ขับรถไปประมาณ 10 กม. เท่านั้นครับ พิกัด GPS ก็ตามนี้เลยครับ 7.015927, 100.519935
ที่ตั้งของ พระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพไตรมงคล นั้นจะอยู่บนเขาครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะถนนลาดยางอย่างดีจนถึงพระธาตุเลยครับ
เจดีย์สเตนเลสตั้งอยู่บนยอดเขาคอหงส์ เจดีย์องค์นี้ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์สเตนเลสองค์แรกของโลก
สร้างขึ้นเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติ 60 ปี โดยมีการวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 28 ก.พ. 2549 และสร้างแล้วเสร็จในเวลาเพียง 160 วันเท่านั้นเองครับ เจดีย์สเตนเลสเป็นการนำสเตนเลสเส้นกลมหลายขนาดจำนวนมากมาเชื่อมต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยมของเจดีย์
จากนั้นผมก็เข้าไปยังปัตตานีครับ ซึ่งระหว่างทางก็มีด่านตรวจของทหารจำนวนมากครับ
ซึ่งก็คงเพราะด้วยเหตุความไม่สงบด้วยนั่นเองครับ
มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
ด้วยความที่ว่าทางใต้นั้นผู้คนจำนวนมากเป็นมุสลิม ดังนั้นจึงมีมัสยิดเป็นจำนวนมากซึ่งที่ปัตตานีเองก็เช่นกันครับ มีมัสยิดกลางจังหวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวปัตตานี โดยที่ปัตตานีนั้นแตกต่างจากสงขลานิดนึงคือ ตัวมัสยิดจะอยู่กลางเมืองเลยครับ ซึ่งแตกต่างจากมัสยิดกลางจังหวัดสงขลาที่อยู่แยกออกมา ทำให้ผมรู้สึกว่ามัสยิดกลางที่ปัตตานีมีชีวิตชีวามากกว่าครับ สำหรับพิกัดของมัสยิดก็ตามนี้ครับ 6.862194, 101.256151 อยู่ที่ถนนยะรังครับ
มัสยิดแห่งนี้สร้างในปี พ.ศ. 2497 ใช้เวลาดำเนินการสร้างประมาณ 9 ปี และทำพิธีเปิดโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 ครับ
ส่วนตัวแล้วถึงแม้มัสยิดที่ปัตตานีจะเล็กกว่าที่สงขลา แต่ผมชอบที่นี่มากกว่าครับ
ภัตตาคาร ลอนดอน
จากนั้นคุณเพื่อนพาผมไปทานข้าวครับ เป็นภัตตาคารอาหารจีน ชื่อดังของเมืองปัตตานีครับ ชื่อ ภัตตาคาร ลอนดอน ซึ่งอยู่ตรงข้ามถัดจากมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีมาไม่ไกลครับ
ที่นี่มักใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของชาวปัตตานีที่เป็นคนจีนและไทยด้วยครับ คุณเพื่อนผมบอกว่ามีอาหารที่อร่อยหลายอย่างอยู่ แต่ไปกันแค่สองคนสั่งได้แค่ 2 อย่างก็อิ่มหล่ะครับ มีขาหมูหมั่นโถว กับ เป็ดล่อนครับ
ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
จากมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีขับรถตรงไปอีกประมาณ 1 กม.แล้วเลี่ยวซ้ายไปที่ถนนอาเนาะรู
จะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวครับ พิกัด GPS 6.871078, 101.258549 ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง เป็นศาลที่ประดิษฐานรูปแกะสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีจะมีงานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปตามถนนสายต่างๆภายในตัวเมืองปัตตานี ทำพิธีลุยไฟบริเวณหน้าศาลเจ้าเล่งจูเกียง ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำตานีบริเวณสะพานเดชานุชิต
ภายในก็จะมีผู้ศรัทธาจำนวนมากมากราบไหว้บูชาครับ
และแน่นอนมีให้เสี่ยงเซียมซีด้วยครับ
ราดหน้านำรส
ช่วงกลางวันที่ปัตตานีมีราดหน้าร้านเด็ดร้านหนึ่งครับ ชื่อร้านนำรส ตั้งอยู่ที่ถนนพิพิธครับ พิกัด GPS 6.865540, 101.252936 ถนนกลางเมืองที่นี่จะจอดรถแปลกนิดนึงนะครับ คือเค้าจะจอกรถกันกลางเกาะถนน ส่วนสาเหตุก็เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องระเบิดครับ
ร้านนำรสเป็นคูหาเล็กๆคูหาเดียวครับ
จานเด็ดของที่นี่คือราดหน้าทะเลครับ ตอนผมไปกำลังทำอยู่พอดีเลยครับ
รสชาติก็ไม่เลวครับ แต่ก็ไม่ได้อร่อยเลิศครับ
มัสยิดเก่ากรือเซะ
มัสยิดเก่ากรือเซะตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะบนถนนหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส)
ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 7 กม.พิกัด GPS 6.872990, 101.302925 ที่แห่งนี้อาจจะเป็นที่รู้จักกับคนทั่วไปจากการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 แต่จริงๆแล้วมัสยิดแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่อดีตการณ์เลยทีเดียวครับ
มัสยิดกรือเซะเป็นมัสยิดเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี ซึ่งข้างๆมัสยิดจะเป็นสุสานเจ้าแม้ลิมกอเหนี่ยวครับ เล่ากันว่ามัสยิดแห่งนี้สร้างโดยลิ้มโต๊ะเคี่ยม ซึ่งเป็นพี่ชายของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และได้เดินทางมายังปัตตตานี และรักกับธิดาพระยาตานี จนได้แต่งงานกันและได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งหลังจากอยู่ที่ปัตตานีแล้วลิ้มโต๊ะเคี่ยมต้องการสร้างมัสบิดกรือเซะแห่งนี้
ครั้นเมื่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวได้ลงเรือสำเภามาตามให้พี่ชายกลับเมืองจีนแต่ไม่สำเร็จ เพราะลิ้มโต๊ะเคี่ยมต้องการสร้างมัสยิดกรือเซะให้สำเร็จเสียก่อน เมื่อไม่สามารถนำพาพี่ชายกลับเมืองจีนได้แล้วนั้น ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้สาปแช่ง ขออย่าให้สร้าง มัสยิดสำเร็จ และตัวเองได้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้จัดการฝังศพน้องสาวไว้ที่หน้า มัสยิดนี้
มัสยิดกรือเซะก็เป็นไปตามคำสาป เพราะไม่สามารถสร้างเสร็จได้ เมื่อจะสร้างต่อก็ให้มีอาเพศ ฟ้าผ่าทุกครั้งจนถึงปัจจุบันก็ไม่มีใครกล้าสร้างมัสยิดกรือเซะต่อ คงเหลือซากทิ้งไว้ตราบเท่าทุกวันนี้
สำหรับเมืองปัตตานีนั้นแน่นอนว่าถ้ามองจากคนนอกพื้นที่อาจจะนึกว่าเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงทั้ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว.. จากคำบอกเล่าของเพื่อนผมที่เป็นอาจารย์ที่ปัตตานี บอกว่าเหตุการณ์ความ
ในพื้นที่ห่างไกลเสียมากกว่า นานๆจึงจะมีเหตุการณ์ในตัวเมือง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์เท่านั้นครับ
มุ่งหน้าสู้พัทลุงแวะวังเจ้าเมืองเก่า
หลังจากผมเสร็จภาระกิจในการเป็นวิทยากรที่ปัตตานีแล้วผมก็ชวนคุณเพื่อนที่เป็นอาจารย์ไปเยี่ยมบ้านเพื่อนอีกคนที่อยู่ที่พัทลุงครับ พัทลุงเป็นจังหวัดเล็กๆที่อยู่ระหว่างนครศรีธรรมราชกับจังหวัดสงขลาครับ เล็กจนเพื่อนผมบอกว่ากระพริบตาทีเดียวก็ขับรถข้ามตัวเมืองแล้ว 555 แต่จริงๆในพัทลุงเองก็ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ
หลังจากผมขับรถจากปัตตานีมาถึงพัทลุงใช้เวลาประมาณ 3 ชม.เอาของไปเก็บที่บ้านเพื่อนก็ขับรถออกไปเที่ยวกันครับ ที่แรกที่ไปคือวังเจ้าเมืองเก่าครับ วังนี้ตั้งอยู่บนถนนอภัยบริรักษ์ อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 8 กม.อยู่ก่อนถึงหาดลำปำครับ พิกัด GPS 7.623972, 100.145582
วังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งอดีตเคยเป็นบ้านพักของเจ้าเมืองพัทลุง ในอดีตเคยถูกใช้เป็นที่ว่าราชการและเป็นที่พักอาศัยของเจ้าเมืองพัทลุง แต่ในปัจจุบันทายาทตระกูล “จันทโรจวงศ์” ซึ่งเป็นตระกูลของเจ้าเมืองพัทลุงผู้สร้างวังนี้ขึ้นมา ได้มอบวังนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ และกรมศิลปากรซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานวังเก่า เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2535 และวังใหม่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2526
ที่วังแห่งนี้บางครั้งจะมีคนเรียกว่า วังเก่าวังใหม่ เนื่องจากภายในพื้นที่จะมีวังใหม่ที่สร้างด้วยปูนอีกหลังหนึ่งอยู่ทางด้านหลังด้วยครับ
ปัจจุบันที่วังแห่งนี้ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ทุกวัน เว้นวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-12.00 น.และ13.00-16.00น. คนไทยเสียค่าเข้าชม 5 บาท ส่วนชาวต่างประเทศ 30 บาท น่าเสียดายที่วันที่ผมไปเป็นวันอังคารจึงไม่ได้เดินเข้าไปชมภายในครับ แต่ผมก็เดินเล่นไปทางด้านหลังซึ่งติดริมน้ำแทนครับ
ทะเลน้อย พื้นที่ชุ่มน้ำอันแสนสมบูรณ์
ก่อนถึงหาดลำปำจะมีถนนหลวงสายหนึ่งที่ขนานไปกับหาดนั่นคือถนน 4007 ขับไปประมาณ 20 กม.
ก็จะถึงแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งของพัทลุงครับนั่นก็คือ ทะเลน้อย ครับ ทะเลน้อย เป็นทะเลสาบน้ำจืด มีคลองนางเรียมยาว 2 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างทะเลน้อยกับทะเลสาบสงขลา ทะเลน้อยถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก ทั้งระบบนิเวศ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ พรรณพืช โดยเฉพาะนก ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากครับซึ่งที่ทะเลน้อยก็จะมีประชาชนจำนวนมากมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ครับ
อาคารที่เห็นนี้เป็นอาคารที่ทางจังหวัดสร้างขึ้นเป็นที่ประทับของ (ถ้าผมจำไม่ผิด) สมเด็จพระเทพฯ สมัยที่มีลงพื้นที่ที่ทะเลน้อยครับ
สำหรับใครที่เดินทางมาที่นี่และต้องการพักที่ทะเลน้อยก็มีห้องพักไว้บริการเช่นเดียวกันนะครับ
ปอ..ปุย สุดยอดกุ้งแม่น้ำยักษ์
หลังจากเดินเล่นเสร็จผมก็มาหาของกินแถวหาดลำปำครับ ที่หาดลำปำก็จะเหมือนชายหาดที่จังหวัดอื่นๆ คือจะมีร้านอาหารเรียงรายอยู่เต็มไปหมด เพื่อนผมที่เป็นเจ้าถิ่นพาผมมาร้าน ปอ..ปุย เพื่อกินกุ้งแม่น้ำยักษ์ครับ ยักษ์ขนาดไหนเดียวมาดูกันครับ สำหรับร้านนี้พิกัดจะอยู่ประมาณนี้ครับ 7.628994, 100.153999 อันนี้คือหน้าร้านครับ
แต่กุ้งที่นี่อาจจะไม่ได้มีทุกวันนะครับ เพราะเป็นกุ้งธรรมชาติครับ ที่ชาวบ้านแถวนี้ไปจับมาครับ ซึ่งถ้าช่วงไหนฝนตกหนักๆ จะไม่มีกุ้งครับ ดังนั้นก่อนไปก็ลองโทรถามตามเบอร์ในรูปข้างบนก่อนได้นะครับ
กุ้งที่ผมสั่งกิโลละ 1,200 บาทครับขนาดก็ ประมาณแขนคนเลยทีเดียวครับ
เอาเทียบกับ iPhone ให้เห็นกันจะๆครับว่าใหญ่ขนาดไหน กุ้งตัวขนาดนี้ตกตัวละ 400 บาท (3 ตัวโล)
ซึ่ง Size นี้ที่ผมเคยกินที่อยุธยาตัวละไม่ต่ำกว่า 1200 บาทแน่ๆ หลังกินผมก็สงสัยว่า 1 กิโลของที่นี่ทำไมถึงได้กุ้งที่ตัวใหญ่มากถึง 3 ตัว ซึ่งถ้าเทียบกับที่แถวอยุธยาแล้ว คำว่ากุ้ง 3 ตัวโลของที่นู้นกุ้งมันเล็กกว่านี้มาก เลยเริ่มสงสัยว่าที่ผ่านมาเราโดนโกงน้ำหนักมาตลอดใช่มั๊ย ??
ผมซัดคนเดียวไป 3 ตัวเล่นเอาอิ่มไปเลยครับ ส่วนนี่เป็นอาหารอื่นๆที่สั่งกันมาครับ มีข้าวผัดปู ลูกชิ้นทอด และปลาอกแตก (เมนูนี้แนะนำอร่อยมาก)
ยกยอ ด้วยยอยก วิถีแห่งการประมง
ที่พัทลุงมีกิจกรรม Unssen อยู่อย่างหนึ่งครับ นั้นคือการชมวิถีชีวิตของชางบ้านที่นี่ในการทำประมงที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก นั่นคือการ “ยกยอ” นั่นเองครับ ยอ เป็นเครื่องมือทำการประมงอันใหญ่(มาก) ที่ชาวบ้านที่นี่คิดค้นขึ้นมา ดูจากขนาดและน้ำหนักของยอแล้วไม่น่าจะยกขึ้นจากน้ำได้เพียงคนเดียว แต่ด้วยภูมิปัญญาในการจัดสร้างทำให้สามารถยกยอยักษ์ได้ด้วยคนเพียงคนเดียว “ยอยักษ์” นี้อยู่ที่ปากประ จังหวัดพัทลุงครับ ซึ่งการไปชมความงานนั้นจะนิยมไปในช่วงเช้าครับ โดยสถานที่ที่แนะนำคือที่ WETLAND CAMP อยู่ที่พิกัด 7.733327, 100.150953 ครับ ซึ่งที่นี่จะมีบ้านพักอยู่จำนวนหนึ่งครับ แต่ผมไม่ได้พักที่นี่นะครับ เพราะผมพักที่บ้านเพื่อนแล้วตื่นเช้ามาที่นี่แทนครับ ซึ่งเราสามารถจองเรือ เพื่อนั่งเรือไปชมวิถีชีวิตชาวบ้านในการยกยอได้ครับ แต่น่าเสียดายวันที่ผมไปนั่นปรากฎว่าฝนตกครับ ไม่มีทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และชาวบ้านก็ไม่ออกมายกยอครับ จึงได้แค่ถ่ายภาพบรรยากาศแบบเย็นๆมาแทนครับ
ไว้มีโอกาสใหม่ผมคงต้องกลับมาแก้มือที่นี่อีกครั้งครับ
ร้านต้นฉบับติ่มซำ
หลังจากผิดหวังจากการไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปากประแล้วผมก็กลับเข้าเมืองมาทานติ่มซำครับ โดยคุณเพื่อนพาไปที่ร้าน ต้นฉบับติ่มซำครับ พิกัดอยู่ที่ 7.614671, 100.082258 สำหรับติ่มซำที่นี่รสชาติกลางๆครับ ไม่ได้อร่อยเลิศ แต่ก็โอเคให้ได้บรรยากาศมาทานติ่มซำทางใต้ได้ครับ
จากนั้นคุณเพื่อนที่ปัตตานีก็ขับรถมาส่งผมที่สนามบินหาดใหญ่ก็เป็นอันปิดทริปเยือนดินแดนด้ามขวานของประเทศไทยครั้งนี้ครับ หวังว่าคงถูกใจเพื่อนๆทุกคนนะครับ สำหรับวันนี้ก็ขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามชมครับ และสวัสดีครับ